tag:blogger.com,1999:blog-199765632024-03-07T15:49:55.781+07:00Vitaya S. BlogGay and gay-related issues. A variety of topics and an individual's insights into gay lives. Thai is used as a primary language. WELCOME EVERYONE! (อัพเดททุกวันอาทิตย์)Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.comBlogger74125tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-4241855334990812652007-04-22T08:35:00.000+07:002007-04-22T08:47:12.219+07:00โจทย์รักยากๆ ที่มีเกย์/กะเทย เป็นตัวแปร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhR25_wFbW-5_tuRpjn1Ra8eULQyvdUxaEZ5vlYJXZppRrfhAjXv3RaByg6TSrVOMlgTMHp5DsxDKKw1uBY47ZbodlyMZ_ePRl3iKD1cxzlCTPINI4gs9O4bbhTaBbdsaEVGD70/s1600-h/me_myself.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhR25_wFbW-5_tuRpjn1Ra8eULQyvdUxaEZ5vlYJXZppRrfhAjXv3RaByg6TSrVOMlgTMHp5DsxDKKw1uBY47ZbodlyMZ_ePRl3iKD1cxzlCTPINI4gs9O4bbhTaBbdsaEVGD70/s400/me_myself.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5056060463727657746" /></a>เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 21-22 เมษายน 2007<br /><br /><strong>ถ้าเด็กผู้ชายคนหนึ่งโตขึ้นมาและถูกเลี้ยงดูในหมู่นางโชว์ที่เป็นกะเทย เขาจะเป็นกะเทยด้วยหรือเปล่า? แล้ว...เขาจะรักผู้หญิงได้มั๊ย?</strong> <br /><br />ภาพยนตร์เรื่องใหม่ “Me…Myself” เปิดประเด็นชวนคิดให้ผู้ชมร่วมขบผ่านชีวิตตัวละคร “แทน” (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ชายหนุ่มรูปงาม กล้ามสวยที่ประกอบอาชีพเป็นนางโชว์ และ “อุ้ม” (ฉายนันทน์ มโนมัยสันติภาพ – นักแสดงหน้าใหม่) ที่หน่ายชีวิตเพราะเพิ่งเลิกกับแฟน <br /><br />ชีวิตเส็งเคร็งของอุ้มถึงจุดเปลี่ยนอย่างมีสีสันน่าตกใจ เมื่อวันหนึ่งเธอขับรถไปชนแทน เขาเลยความจำเสื่อม นอกจากจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูหลายชายที่ไม่ค่อยลงรอยกันแล้ว เธอถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องดูแลหนุ่มผมยาวท่าทางแปลกๆ คนนี้อีกด้วย และแล้วแทนกับอุ้มก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นจนกลายเป็นความรัก<br /><br />ใครที่ได้ดูหนังตัวอย่าง ชมมิวสิควิดีโอ อ่านเรื่องย่อ หรือบทสัมภาษณ์ คงมีหลายคำถามตามมามากมาย สำหรับผมเอง สงสัยจังว่า ถ้าคนที่เป็นสาวประเภทสอง “จริงๆ” (ที่ยังไม่ได้ผ่าตัด หรือเสริมเต้า) เกิดโดนรถชน และความจำเสื่อม...<br /><br /><strong>หล่อนจะลืมไปมั๊ยว่า ตัวเองเป็นสาวประเภทสอง?</strong><br /><br />ประเด็นชวนคิด พาจิตเตลิดได้นะครับ คิดเล่นๆ ได้ต่อไปว่า เอ...จะมีกรณีไหนบ้างไหมที่ ผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานมีเมียแล้ว เกิดถูกรถชน หรือประสบอุบัติเหตุทางสมอง ฟื้นขึ้นมา แล้วเขาคิดว่า ตัวเองเป็นเกย์น่ะ? <br /><br />ในโลกนี้ มีใครทำหนังเรื่องนี้ยัง?<br /><br />หนังแนวเปลี่ยนร่างสลับวิญญาณ สลับร่างสร้างรัก หรือรักผิดฝาผิดตัว มีให้เห็นกันบ่อยๆ และมีสีสันแตกต่างกันไป <br /><br />ในปีนี้น่าจะมีหนังไทยมาอีกเรื่อง “รักไม่จำกัดนิยาม” Unlimited Love ว่าด้วย หญิงสาวไปอยู่ในร่างชายหนุ่มรูปหล่อมาดแมน เป็นนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ หล่อนพยายามทำให้แฟนหนุ่มนักโฆษณาเชื่อและรักเธอต่อไป ด้วยปรัชญาความรักที่ว่า รักฉันเพราะเป็นฉัน ไม่ว่าฉันเป็นเพศอะไร หรือฉันจะบิดมอเตอร์ไซค์<br /><br />อีกเรื่องที่สร้างความฮือฮาที่เกาหลีมาก่อน (และน่าจะเอามาฉายเมืองไทย) โดยมีชื่อเรื่องภาษาอังกฤษที่คนหนังเกาหลีบ่นว่า ฟังดูงี่เง่าบรม ตั้งมาได้ยังไง “Bungee Jumping of Their Own” (2001) แต่เนื้อเรื่องไม่ธรรมดานะครับ<br /><br />เรื่องนี้เกี่ยวกับหนุ่มสุดเฉิ่ม พบรักกับสาวขี้เหล่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็พลัดพรากกัน โดยที่หนุ่มน้อยไม่รู้ว่า วันที่เขารอแฟนสาวมาส่ง แต่ต้องรอเก้อก่อนเขาจะก้าวขึ้นรถไฟเพื่อไปเกณฑ์ทหารน่ะ แฟนสาวได้โดนรถชนตายไปซะแล้ว อีก 17 ปี ต่อมา เขาแต่งงาน มีครอบครัว และไปเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง (และดูเหมือนจะหล่อขึ้นกว่าเดิม) โชคชะตาก็เล่นตลกเข้าให้ เขาค้นพบว่า รักวัยทีนของเขาหวนคืนมา แต่อยู่ในร่างของนักเรียนชายวัย 17 <br /><br />โอ้...กิมจิ! พล็อตสุดยอด! <br /><br />ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาพาดพิง หรือเกี่ยวโยงกับประเด็นรักเพศเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่าติดตามเสมอ เพราะชีวิตของเกย์ กะเทย ทอม ดี้ ไบฯ ฯลฯ มีสีสัน และท้าทายความเชื่อและพื้นฐานทางความคิดในเรื่องเพศ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแต่ละสังคมได้ดี บางทีก็เขย่าได้แรงๆ <br /><br />คนเราเรียนรู้กันและกันได้ ก็เพราะความแตกต่างนี่แหละ และในที่สุดความแตกต่างจะนำพาให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น คุณว่ามั๊ย?<br /><br />Me…Myself ขอให้รักจงเจริญ เป็นหนังรักนะครับ อย่างที่เขาโฆษณาไว้ เพราะฉะนั้นประเด็นทางสังคมเกี่ยวกับเกย์ และกะเทย ก็ดูจะเป็นรองไปหมด <br /><br />คนดูคนหนึ่งอาจดูแล้วบอกว่า หนุ่ม “แทน” ในเรื่อง เป็นตัวแทนของกะเทยที่เคยแต่งงานมีลูกแล้ว แต่ก็ยังเป็นกะเทยอยู่ ซึ่งมีให้เห็นทั่วไป โดยที่กะเทยคนนั้นไม่ต้องถูกรถชนและความจำเสื่อม แต่เกิดอยากลอง หรือยังสับสนจนไปมีอะไรกับเพื่อนสาวหรือคนใกล้ชิด <br /><br />คนดูอีกคนอาจบอกว่า “แทน” ไม่ได้เป็นกะเทยหรอก แต่เขาสับสนอยู่เพราะโตมาในค่ายนางโชว์ ถึงตอนนี้ ก็มีเพื่อนบางคนของผมบางคนเสนอขึ้นมาทันทีว่า งั้นก็ลองสร้างพล็อตให้เขาโตมาในค่ายมวยสิ ไม่มีคำถามแน่ๆ เพราะเขาต้องเป็นผู้ชายชัวร์ อ้าว...อย่างนี้ต้องถามต่อว่า แล้วน้องตุ้ม Beautiful Boxer ล่ะ?<br /><br />คนดูอีกคนอาจบอกว่า จริงๆ แล้ว แทนชอบแต่งหญิงต่างหาก เพราะแต่งแล้วรู้สึกดี แต่เขาก็เป็นผู้ชายอยู่นะ ในสองประเด็นหลังนี้ สาวๆ ที่ชอบเกย์ออกสาว หรือชอบกะเทย คงถูกใจ สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นผู้ชาย ไม่ต้องสับสนนะครับ มีสาวๆ แบบนี้เยอะ และอย่าคิดไปเปลี่ยนเธอ ยกเว้น คุณจะแต่งหญิงเอาใจเธอ<br /><br />คนเรา แต่ละคนมีกรอบไม่เหมือนกัน และเรามักจะอธิบายเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา และธรรมชาติ งั้นไปพิสูจน์กันเอาเองแล้วกัน หนังฉายแล้ว 19 เมษ. แล้วมาเล่าสู่กันฟังนะครับ <br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com16tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-40217095745734374962007-04-16T11:54:00.000+07:002007-04-16T11:57:57.471+07:00คนไหนเป็นคนไหนล่ะ?<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6Yua6scDxnhcJIIDjwmT2dBgKZwU0VR75VXidSEL_E5pA9hC1QZyWTNCu8W6228AdQgalEEmlHOCzqgl-Sjiu-Ung61bxgo0puso4yuL56z1opEdu0LKdjlcwc1hm1hfJ0-zt/s1600-h/single-dance-party-6.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6Yua6scDxnhcJIIDjwmT2dBgKZwU0VR75VXidSEL_E5pA9hC1QZyWTNCu8W6228AdQgalEEmlHOCzqgl-Sjiu-Ung61bxgo0puso4yuL56z1opEdu0LKdjlcwc1hm1hfJ0-zt/s400/single-dance-party-6.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5053885068085161474" /></a>เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 14-15 เมษายน 2007<br /><br /><strong>ตามคำบอกเล่า ที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่จะมีบาร์เบียร์สำหรับลูกค้าเกย์อยู่ที่หนึ่ง วันนั้นอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ผมกับเพื่อนเดินวนไปเวียนมาก็ไม่เจอ เพื่อนผมที่เดินตามหลังผม เริ่มมองหน้ากัน ส่งสายตาไม่ไว้ใจไกด์หลังแฉะอย่างผมที่เดินหันรีหันขวางอยู่ข้างหน้า</strong><br /><br />ชะแว้บ...<br /><br />ผมหยุดกึ้ก เมื่อสายตาไปกระทบกับธงสายรุ้ง มันพลิ้วเบาๆ อยู่ในระยะไกลๆ ตรงหลืบแห่งหนึ่ง เหมือนใครบางคนกำลังกวักมือเรียกหยอยๆ <br /><br />โหย…มาซ่อนอยู่ตรงซอกนี้เอง เราสาวเท้า ปรี่เข้าไปหาเลยทันที<br /><br />“น้องๆ ทำไม มาอยู่ข้างในอย่างนี้ล่ะ…” ผมถามพนักงานหลังจากได้ที่นั่งเหมาะๆ มองไปรอบๆ ก็พบว่า เป็นบาร์เบียร์ที่มีขนาดกว้างคูณยาวแล้ว ไม่น่าจะเกิน 4X4 เมตร “…ทำตัวเหมือนหลบๆ ซ่อนๆ ทำไมไม่ไปเปิดร้านอยู่ข้างหน้าโน้นเลยล่ะ สง่าผ่าเผยดี”<br /><br />พนักงานทำหน้างงๆ แล้วตอบว่า “ก็บางทีลูกค้าจับไม้จับมือ จู๋จี๋กัน จะได้ไม่เขินน่ะพี่” <br /><br />อ้อ...ผมทำหน้าแสดงความเข้าใจ จริงๆ แล้ว ผมลืมไป ผมไม่ควรนึกภาพเปรียบเทียบยามราตรีของอ่าวนาง ณ. กระบี่ กับสีลม ณ. กทม.<br /><br />ผมมากับเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งเป็นอดีตเกย์ขาแดนซ์ อีกคนเป็นหญิงสาวสวยผู้ที่ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลยในชีวิต แม้กระทั่งเรียนจบ และทำงานแล้ว ก็ตอนนี้ คุณแม่ของหล่อน ยังทำเหมือนเดิม คือนั่งรอจนกว่าลูกสาวคนสวยจะกลับถึงบ้าน เลยเป็นเหตุให้หล่อนไม่นิยมเข้าบ้านดึกดื่น แต่ที่นี่ ไม่มีคุณแม่<br /><br />วันนี้เราสามคนตั้งใจจะมาสนุกสุดเหวี่ยงกันหลังจากเล่นน้ำจนตัวดำและนั่งบนเรือจนเบื่อแล้ว<br /><br />สองโต๊ะในบาร์เล็กๆ แห่งนั้น มีแขกนั่งอยู่ก่อน โต๊ะแรก ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวฮ่องกง หรือไต้หวัน เขาไม่สนใจใครๆ แต่จดจ่ออยู่กับเกมอะไรบางอย่างที่ผลัดกันเล่นอยู่ งั้น..ไม่นับโต๊ะนี้ เพราะไม่มีสัญญาณอะไรมามอบให้กัน<br /><br />อีกโต๊ะสิครับ เป็นหนุ่มยุโรปตัวโตสองคน กำลังนั่งคุยกัน พวกเขายิ้มให้เราแทบจะทันทีตอนที่มาถึง สงสัยคงดีใจมั้งที่มีคนมาเพิ่มในพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ สักพัก หลังจากสั่งดริ๊งค์กันจนครบแล้ว ผมเพิ่งสังเกตว่า เพื่อนอดีตขาแดนซ์ของผมที่เป็นรูมเมทในทริปนี้กำลังโปรยยิ้มข้ามฟากไปโต๊ะนั้น อีกครู่ เขาก็ขยิบตาให้หนึ่งในสองนั้นสำทับอีกที สงสัยคืนนี้ ผมต้องย้ายไปนอนห้องอื่นแล้วละมั้ง<br /><br />บาร์เบียร์เปิดเพลงไปเรื่อยๆ หนักบ้าง เบาบ้าง เราอยู่ที่นั่นประมาณชั่วโมงกว่า เพื่อนผมเลิกขยิบตาแล้วล่ะ เพราะหนุ่มยุโรปคนนั้นไม่แสดงทีท่าจะเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากลุกไปห้องน้ำหนึ่งครั้ง จนเพื่อนผมถอดใจไปเอง ส่วนเพื่อนสาวของผม ดูจะสนุกที่สุดในคืนนี้ ดูเหมือนเธอจะได้รับการปลดปล่อยจากอะไรบางอย่าง แม้จะชั่วคราวก็ตาม <br /><br />สักพัก หลังจากดีเจตรงที่อยู่ในห้องเล็กๆ บนชั้นสองหันมาเปิดเพลงเอาใจกันเองให้กับพนักงานข้างล่าง พวกเขาเริ่มเต้นกันเอง ร่ายรำกันเอง เฮฮากันเอง คงลืมไปว่า มีลูกค้าคนอื่นอยู่ตรงนั้น เราเลยคิดว่า คงถึงเวลากลับซะที เพราะต่อไปพวกเขาอาจจะ “ได้” กันเอง<br /><br />“ในกระบี่มีร้านเกย์เท่านี้เองเหรอ” เพื่อนผู้ผิดหวังของผมโอดครวญ ทำหน้าเซ็งสุดขีดหลังเดินออกมา<br /><br />ผมนึกสงสัยว่า จำเป็นมั๊ยที่เป็นเกย์ แล้วต้องไปเที่ยวในที่ที่มีแต่เกย์? มันก็คง ไม่จำเป็น แต่ที่นี่ ที่อ่าวนาง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผับ มีบาร์อยู่มากมายสำหรับชายหญิงทั่วไป แต่ทำไม ไม่เห็นมีที่สำหรับเกย์เลยล่ะ? จะมีใครนะ เข้าใจคำว่า “พื้นที่” ที่ควรมีหลากหลายสำหรับนักท่องเที่ยวหลายๆ กลุ่มมั๊ย? เอ...หรือนักท่องเที่ยวเกย์ไปแน่นกันอยู่ที่ภูเก็ตกันหมด? เราเองน่ะแหละ มาผิดที่?<br /><br />ผมกับเพื่อนตกลงกันว่า ในคืนวันรุ่งขึ้น เราจะไป “สำรวจ” อย่างจริงจัง ผมจัดการเข้าเน็ต และถามคนแถวนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เขาจะบอกแต่เพียงว่า ไม่มีหรอกผับเกย์หรือบาร์เกย์โดยเฉพาะ มีแต่ผับและบาร์ทั่วๆ ไป และก็คงมีเกย์ไปกันมั้ง เราคงต้องพยายามค้นหาดูเอง<br /><br />เร่ร่อนไปสองสามที่ในคืนวันรุ่งขึ้น จนในที่สุดก็คิดว่า คงเป็นจริงอย่างว่า ไม่มีผับหรือบาร์เกย์หรอก มีแต่ “พันธุ์ผสม” ถ้าเป็นแบบนี้ คงดูไม่ออกหรอกครับว่า ใครเกย์ ใครไม่เกย์ การที่ต้องเดาเอาว่า ใครเป็นใคร มันไม่สนุกหรอกอย่างเวลามาเที่ยวอย่างนี้ เพราะมันใช้เวลา ท้าทายอารมณ์ กับต้องอดทน ถ้าทักผิด คงหน้าแตก <br /><br />เพื่อนผมยังคงอดทนนั่งรอตรงนั้นในผับแห่งหนึ่งที่ดูฮิปดี หวังใจว่า อาจจะได้ปิ๊งใครในที่สุด มันก็คงเหมือนเป็นเกมสนุกของคนเที่ยวกลางคืนที่ชอบเรื่องฟลุ้กๆ น่ะครับ <br /><br />หลังจากมองไปรอบๆ เก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ เราเห็นหนุ่มต่างชาติสองคน อายุไม่น่าเกิน 28 ดูจากภายนอกแบบ เดาๆ แล้ว ก็ไม่น่าจะใช่ แต่ดูจากท่าเต้น มันมีแนวโน้มว่าใช่ ผมอดสงสัยไม่ได้ ก็เขายักย้าย เข้าจังหวะ ด้วยลีลาสร้างสรรค์ ปลดปล่อยอารมณ์ขนาดนั้น ผู้ชายทั่วๆ ไป คงไม่เต้นได้มันส์สะใจอย่างงั้นหรอก แถมยังเต้นหันหน้าชนกันอีกต่างหาก ไม่เห็นเข้าหาสาวคนไหน แต่ผมง่วงนอนเกินไปที่จะรอคำตอบ เลยปล่อยให้เพื่อนผม “หาเหยื่อ” ของเขาต่อไป มันเล่าให้ฟังในวันรุ่งขึ้นว่า ได้คุยกับหนึ่งหนุ่มในสองคนนั้นด้วยล่ะ<br /><br />“มาจากเยอรมันล่ะแก ไอ้ตัวเล็กว่าบอกว่า ไม่ได้เป็นเกย์ เพื่อนมันที่เต้นมันส์ๆ ที่แกชอบน่ะ ก็บอกว่า ไม่ได้เป็นเหมือนกัน มันบอกว่า กำลังมองหาสาวอยู่ แต่ไม่อยากเสียเงิน จะทำไงดี สาวไทยในนี้ก็มีตั้งหลายคน แล้วจะรู้ได้ไงว่า คนไหนเป็นคนไหน คนไหนใจตรงกัน” เพื่อนผมเล่าอย่างอารมณ์ดี<br /><br /><strong>มันคงรู้สึกดีขึ้นน่ะครับ ถึงแม้ในคืนนั้น จะไม่ได้เจอหนุ่มคนไหนที่ถูกใจ แต่ก็ได้เพื่อนคุยคนหนึ่งที่ถูกคอ และที่สำคัญ มันกับหนุ่มเยอรมันคนนั้น ตกที่นั่งเดียวกันคือ ไม่รู้ว่า คนไหน เป็นคนไหนในพื้นที่พันธุ์ผสมแบบนั้น</strong><br /><br /><strong>หมายเหตุ</strong> ภาพประกอบไม่ได้ถ่ายจากสถานที่จริง เป็นเพียงภาพประกอบ<br /><br /> -end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com16tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-71570691809664527492007-04-08T21:57:00.000+07:002007-04-08T22:13:09.638+07:00โกยเถอะโกย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyxfb-DImABcfUwL_JrWeHf25cMufFKB0fiDjHNhtKS74VPmhfQfkvYjbZsQGbhSESUCsjQypkfjrO7PYPOVISHnWuxQBdpjqqS6p6tYwgR3cuBgeaZmUxIDWHSXRt72AZWKEd/s1600-h/ghostation.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyxfb-DImABcfUwL_JrWeHf25cMufFKB0fiDjHNhtKS74VPmhfQfkvYjbZsQGbhSESUCsjQypkfjrO7PYPOVISHnWuxQBdpjqqS6p6tYwgR3cuBgeaZmUxIDWHSXRt72AZWKEd/s400/ghostation.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5051072918101626114" /></a><br />เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ นสพ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันเสาร์ เมโทรไลฟ์ เซคชั่น 7-8 เมษายน 2007<br /><br /><strong>ในวันเปิดตัวหนังใหม่ที่ตั้งชื่อชวนฉงนว่า “โกยเถอะเกย์” ที่โรงหนัง SF World Cinema เซ็นทรัลเวิร์ด เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ผมรู้สึกสับสนอย่างจัง หลังรายการทอค์ลโชว์และรายการชมภาพยนตร์จบ</strong><br /><br />ในฐานะที่มีชีวิตส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการทำหนังด้วย ผมจึงไม่อาจจะวิจารณ์งานหนังของคนอื่นได้โดยอิสระ และขณะเดียวกัน ผมก็ไม่บังอาจอวดอ้างว่า งานของตัวเองดีกว่า หรือเลอเลิศกว่าใครๆ แต่ประการใด<br /><br /><strong>แต่ในฐานะเกย์คนหนึ่ง...ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ คงมีคนถามว่า ทำไมไม่พูด</strong><br /><br />ในวันนั้น ก่อนหนังจะฉาย มีรายการทอล์คโชว์สำคัญ นักแสดงนำของเรื่องสองท่านที่รู้จักกันดีคือ “เสนาหอย และคุณเปิ้ล นาคร” ออกมาวาดลีลา แดนซ์สนุกสนานไปพร้อมกับทีมนักเต้นกลุ่มใหญ่ภายใต้แสงสีจัดจ้านบนเวทีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในโรงหนัง<br /><br />เปิดม่านขึ้น เพลง “YMCA” ก็กระหึ่ม ผมไม่แน่ใจอยู่เหมือนกันว่า ผู้ชมส่วนใหญ่ ซึ่งดูแล้ว น่าจะเป็นชายหญิงทั่วไป จะรู้หรือเปล่าว่า เพลง YMCA เป็นเพลงโปรดของเหล่าชาวสีรุ้งอีกเพลงหนึ่ง และวง <strong>The Village People</strong> เจ้าของเพลงก็เป็นวงหนึ่งที่โดนใจมนุษย์กลุ่มนี้เช่นกัน <br /><br />รอบที่ผมไปดู เป็นรอบแรกเปิดซิง สองนักแสดงฝีปากคบกริบเริ่มทอล์คโชว์ในแบบฉบับของเขา โดยอุปโลกน์เรื่องราวว่า เวทีนี้คือโลกแห่งอนาคตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า และพวกเขากำลังรำลึกย้อนอดีตเมื่อคราวที่ตกลงรับแสดงหนังเรื่องนี้ <br /><br />หนีไม่พ้นหรอกครับ สิ่งที่นำเสนอต้องเป็นมุกตลกเกี่ยวกับเกย์ เพราะเรื่องนี้เขาสองคนเล่นเป็นคู่รักกัน แก๊กพื้นๆ อย่าง นิ้วก้อยกระดก หรือใส่เสื้อรัดรูป ก็ถูกงัดขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะได้เช่นเคย ผมถามตัวเองว่า แล้วทำไมผมถึงหัวเราะไปกับเขาล่ะ ทั้งๆ ที่เป็นมุกเดิมๆ ใช้กันบ่อยๆ และอีกอย่าง ทำไมไม่คิดว่า เป็นมุกล้อเลียนเกย์ หรือทำเกย์เป็นตัวตลก ให้เป็นที่น่าสมเพช?<br /><br />นึกดูแล้ว ผมหัวเราะออกมาได้ คงเป็นเพราะรู้สึกว่า วิธีการนำเสนอของเขานั้น ไม่ได้เสียดสีเกย์ให้เสียหาย ไม่ได้นำเสนอด้วยความรู้สึกดูแคลน ไม่ได้เอาเรื่องเกย์มาเหยียดหยามหรือย่ำยี และไม่ได้พยายามทำให้คนดูเชื่อว่า เกย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่มักจะเข้าใจผิด แต่มันเป็นมุกตลกจากตลกมืออาชีพที่รู้ซึ้งว่า จะเล่นมุกตลกที่ Sensitive เกี่ยวกับชีวิตคนยังไง มันถึงจะตลก ลงตัว เป็นกลาง และที่สำคัญ สร้างสรรค์ <br /><br />เขาสองคนทำได้ดีเลยล่ะครับ<br /><br />ผมก็ดูเพลินไป เว้นแต่มุกที่จัดให้คุณพี่มัม ลาโคนิคแปลงกายมาเป็นรปภ. มาดแมน ซึ่งขัดแย้งกับตัวจริงของเธอ แล้วเธอก็เล่าเรื่องตามสคริปต์ว่า เลิกเป็นเกย์แล้วล่ะ เพราะเป็นแล้วลำบาก ผมเข้าไม่ถึงว่า ผู้จัดกำลังจะสื่อถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมได้ข้อมูลที่ว่า เออเนอะ...เป็นเกย์นี่ เป็นแล้วเลิกได้ และคงต้องลำบาก <br /><br /><strong>แล้วก็ถึงเวลาฉายหนัง</strong> <br /><br />โกยเถอะเกย์เป็นเรื่องของคู่เกย์ที่ไปเปิดปั๊มน้ำมันกลางป่า ซึ่งมีผีสาววัยรุ่นต่างด้าวคอยหลอกหลอนผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่เว้นกระทั่งพระ หนึ่งในคู่เกย์นั้นเกิดไปมีสัมพันธ์สวาทกับสาวทอมคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสาวทอมมีแฟนแล้ว เป็นดี้สาวสวย หล่อนตัดสินใจทิ้งแฟนดี้ หลังจากขึ้นเตียงกับหนุ่มเกย์ที่หล่อนไม่รู้ว่า เขาเป็นเกย์ เรื่องราววุ่นวายยิ่งขึ้น เมื่อสาวทอมบังคับให้หนุ่มเกย์ตกลงยินยอมมาใช้ชีวิตด้วยกัน<br /><br />ตัวหนังพยายามนำเรื่องวิบากกรรมที่เกิดจากการกระทำไม่ดีของตัวละครมาผูกโยง และดูเหมือนกำลังจะมีคติบางอย่างสอนใจคนดูแฝงๆ อยู่ ในอีกแง่หนึ่ง เหมือนกำลังจะนำเสนอ <strong>"Seriousness"</strong> หรือความตั้งใจเอาจริงเอาจังอะไรบางอย่างผ่านความโง่เขลา <strong>“Silliness”</strong>และข้อผิดพลาดของตัวละครที่เป็นเกย์ กะเทย ทอม และ ดี้ ที่มากันครบเซ็ทในเรื่องนี้ (จริงๆ น่าจะมีไบซักคน) <br /><br />ผมคิดว่า สิ่งที่หนังเรื่องนี้ขาดไป ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสิ่งคัญอย่างมาก ก็คือ Sensitivity หรือ ความสำนึกรับรู้ต่อประเด็นที่อาจกระทบกระเทือนเกย์ กะเทย ทอม ดี้ ดังเช่นที่มักจะเกิดขึ้นมาในอดีต<br /><br />ขออนุญาตยกตัวอย่าง ในฉากที่ตัวละครตัดสินปัญหากันด้วยความรุนแรง ในตอนท้ายๆ เรื่อง ผมคิดว่า เวลาคนดูเดินออกจากโรง แทนที่จะได้คติสอนใจเรื่อง วิบากกรรมที่คนๆ หนึ่งขโมยเงินของคนอื่นไปหาความสุข แต่ได้ทุกข์มาแทน ก็คงจะจดจำได้แต่เพียงว่า ดูสิ คนพวกนี้ มันพวกอารมณ์รุนแรง และมักต้องลงเอยแบบนี้ไง <br /><br />ผมว่า ฉากตลก เสียดสี เรื่องกะเทยกับห้องน้ำ เรื่องวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ พอรับไหว แต่ฉากเรื่องความรุนแรงที่ใช้เดินเรื่อง ทำให้ผมแทบจะลุกออกจากโรงเลยล่ะครับ (แต่ถ้าลุกไป แล้วผมจะมีอะไรมาเล่าให้ฟังกันล่ะ) <br /><br />การขาด Sensitivity ทำให้คนเราปฏิบัติต่อคนอื่นที่ดูด้อยกว่าอย่างไม่เป็นธรรม หรือสร้างความรู้สึกดูแคลน อย่างในหนัง พวกเขาก็มีมุกล้อคนต่างด้าวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ในเรื่องนี้ ผีสาวเป็นพวกพูดจาไม่...ชะ...<br /><br />เรื่องพูดไม่ชัดของหล่อนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความตลก แต่ท้ายที่สุดความ "ซิลลี่" กลับมีอำนาจขับเคลื่อนเพื่อโกยรายได้ต่อไปอีก <br /><br /><strong>ผมคงตั้งใจและคาดหวังเกินไปว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ก็เห็นคนดูส่วนใหญ่ในโรงยังคงเพลิดเพลิน หัวเราะสนุกกัน แต่ผมกับเพื่อนมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อว่า เพิ่งจะได้ดูหนังอะไรจบไป และอยากให้วันนี้ เขามีแค่ทอล์คโชว์</strong> <br /><br />เว็บไซต์หนัง : <a href="http://www.ghoststationmovie.com">http://www.ghoststationmovie.com</a> <br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com8tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-72472037245631284852007-04-01T11:37:00.000+07:002007-04-08T22:12:29.360+07:00I Am...What I Am(youtube ถูกกระทรวง ICT บล็อค ดูตัวอย่างโฆษณาได้ที่เว็บ www.ktc.co.th)<br /><br />เลิกแอบเสียที 31 มีนาคม - 1 เมษายน 2007 วิทยา แสงอรุณ vitadam2002@yahoo.com<br /><br /><strong>หญิงสาวผมยาวดำขลับยื่นมือออกไป ลูบไล้ใบหน้าหนุ่มหล่อคมเข้มที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างเบาๆ สายตาแห่งแรงปรารถนาสะกดไปที่เขา แต่…เพียงเพื่อจะพบว่า ดวงตาของชายหนุ่มกำลังมองเลยผ่านข้ามไหล่หล่อนไป แล้วไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างนัก</strong><br /><br />แวบแรกที่ผมเห็นโฆษณาทีวีชิ้นนี้ ก็คิดถึงเรื่อง “แก๊งชะนีกะอีแอบ” ทันที แต่จริงๆ แล้วหนุ่มคนนั้นในโฆษณาไม่ได้แอบเลยสักนิด เขาจับจ้องไปที่หนุ่มอีกคนอย่างไม่้รู้สึกเกรงอกเกรงใจคนสวยที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่มีอาการทุกข์ร้อน และดูเหมือนเขาจะไม่ไยดีใดๆ กับอาการขุ่นๆ ที่หล่อนแสดงออกมาหลังจากรู้ว่า เขากำลังมองใครอยู่ <br /><br />จากจุดนั้น โฆษณาเผยให้รู้ต่อมาว่า นี่เป็นผลงานชิ้นใหม่ของบัตรเครดิต KTC <br /><br />เคทีซีเคยสร้างความฮือฮากับการออกผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตเก๋ๆ อย่างบัตรขนาดมินิที่นางแบบสาวใช้ปกปิดยอดปทุมถันของเธอ เรียกว่าเป็นโฆษณาโดนใจคนเมือง แต่ไม่โดนใจคนที่คอยกำหนดคุณค่าแห่งความเหมาะสมในสังคม โฆษณาชิ้นนั้นทำให้เคทีซีผ่านร้อนผ่านหนาวกับกระแสแรงๆ ของสื่อมวลชนมาแล้ว แต่คราวนี้สิครับ น่าสนใจ และท้าทายมากกว่านัก<br /><br />บัตรใหม่นี้มีชื่่อว่า “I AM” ภาพบนบัตรเป็นรูปผู้ชายติดปีก (รูปปั้นเดวิด) ที่สร้างความฉงน ปนไม่เื่ชื่อสายตาในหมู่ผู้ชมบางกลุ่ม อย่างเช่นเพื่อนรุ่นน้องของผมคนนี้ <br /><br />“พี่ๆ….” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “…เห็นโฆษณาบัตรเครดิตอันใหม่ของเคทีซีหรือยัง…ตกลง นี่มันบัตรสำหรับ PLU หรือเปล่าเนี่ย (People Like Us หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ชาวเรา)?”<br /><br />ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของบัตรเคทีซีให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดังฉบับหนึ่งว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เป็นบัตรสำหรับลูกค้าผู้ชายกลุ่ม “Metrosexual” หรือผู้ชายเจ้าสำอาง<br /><br />ในความหมายของท่าน ก็คือ คนที่ชอบดูแล ใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่งตัวเป็น มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยสินค้าประเภท เสื้อผ้า และคอสเมติคส์ เพื่อให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอ ท่านบอกตัวเลขเงินทองของผู้ชายกลุ่มนี้ที่ใช้ไปเพื่อการนี้ คร่าวๆ ก็เป็นหลักแสนต่อปี <br /><br />ที่สำคัญ กลุ่มชายรักชายก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มเมโทรเซ็กช่วลนี้เหมือนกัน ท่านผู้นั้นให้สัมภาษณ์ไว้<br /><br />ผมคิดว่า เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ชาญฉลาดและแยบยลไม่น้อยเลยล่ะครับ <br /><br />รุ่นน้องผมถามต่ออีกว่า “แต่ที่เห็นเนื้่อหาโฆษณา และชื่อบัตรว่า I AM เนี่ย ตกลงมันกลุ่มเมโทรเซ็กช่วล หรือม้ันกลุ่มเกย์เมโทรเซ็กช่วลกันแน่ ผมว่า น่าจะหมายถึงพวกเราทั้งหมดนะครับ ไม่น่าจะหมายถึงผู้ชายทั่วๆ ไป”<br /><br />คำตอบทั้งหมดนี้ มีอยู่ในเว็บไซต์ของเคทีซีแล้ว คุณจะเห็นรายการชื่อสินค้าคอสเมติคส์ เสื่อผ้าเแบรนด์ไทยและเทศ สถานบริการ สถานประกอบการต่างๆ ที่ชาวสีรุ้งนิยม ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไป เปิดเข้าไปดู คงงงๆ<br /><br />ผมคิดว่า ผลงานโฆษณาและผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตชนิดใหม่นี้ แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นในตลาดนี้ ภาพที่นำเสนอในเนื้องานโฆษณา ถือว่า ก้าวล้ำไปข้างหน้าเกินกว่าจะเป็นเพียงแ่ค่แหย่ๆ เพื่อชิมลาง เพราะตัวเนื้อหาโฆษณานั้นไปไกลเกินเส้นแบ่งเขตที่เรียกว่า “gay vague” หรือการนำเสนอภาพความคลุมเครือของตัวตนคนเป็นเกย์ผ่านสื่อโฆษณาเพื่อจะ “สื่อสารทางอ้อม” กับลูกค้ากลุ่มนี้ <br /><br />ผมเดาว่า เคทีซีคงคิดไว้แล้วหลายตลบแล้วน่ะครับ เพราะโฆษณาชิ้นนี้ปรากฎอยู่ในสื่อกระแสหลัก ซึ่งมีผู้ชมปะปนอยู่หลากหลายเพศ อายุ การศึกษา และทัีศนคติ หากเคทีซีพูดอะไรตรงไปตรงมา แล้วใครๆ พากันพูดต่อว่า เคทีซีออกบัตรเครดิต “เกย์” ในแง่มุมหนึ่งก็สามารถสร้างความฮือฮาให้ไม่น้อย สื่อมวลชนคงนำมาตั้งคำถามอย่างสนุกสนาน ตกเป็นข่าวได้ ในอีกมุมหนึ่ง ความชัดเจนจะทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วลูกค้าเป้าหมายหลักจะกล้าถือบัตรนี้ไหม?<br /><br />เคทีซีมีทางเลือกก็คือ ไม่นำเสนอตรงๆ ก็ได้ แต่การไม่นำเสนอตรงๆ เลยซะทีเดียวก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และอาจจะสร้างความสับสนในหมู่ลูกค้าผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์ ซึ่งกลุ่มนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ลูกค้า “ในใจ” ของเคทีซีที่ตั้งเป้าไว้ โจทย์ก็คือว่า สื่อสารได้แค่ไหนจึงลงตัว<br /><br />ตรงนี้เอง ผมคิดว่า องค์ประกอบต่างๆ ภาพของชายหนุ่มอีกคนในผลงานโฆษณา ความตั้งใจจ้องมองของชายหนุ่มไปยังหนุ่มอีกคน ภาพไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอื่นๆ ที่ปูมาตั้งแต่ต้น ผนวกกับภาพสัญลักษณ์กามเทพหนุ่มติดปีกที่เด่นอยู่บนหน้าบัตร และชื่อบัตรว่า “I AM” น่าจะทำหน้าที่ของมันได้ผล <br /><br />สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ใช่เกย์ คำว่า “I AM” สำหรับเกย์นั้น มีความหมายว่า “ฉันเป็นฉัน ฉันเป็น (เกย์)” คนที่จะพูดอย่างนี้อย่างเต็มปากได้ ต้องผ่านสมรภูมิทุกข์ใจกว่าจะยอมรับตัวเองได้ อีกมุมหนึ่ง สำหรับคำๆ นี้ เกย์คนหนึ่ง-เช่นผม ก็จะนึกถึงคำว่า I AM WHAT I AM ซึ่งเป็นเพลงดังเพลงหนึ่ง ไม่ทราบว่า ท่านผู้อ่านรู้สึกอย่างเดียวกันหรือเปล่า<br /><br />เพลงๆ นี้ สำหรับเกย์อายุยี่สิบเศษ อาจจะยังไม่เคยรับรู้ถึงพลังของเนื้อหาเพลงม หรือแม้แต่ชื่อเพลงนี้ก็อาจจะไม่เคยได้ิิยิน คำ ๆ นี้จึงไม่สื่อกับเกย์กลุ่มยี่สิบเศษซึ่งเพิ่งจะเรียนจบ อีกอย่างเกย์ในวัยนี้คงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของบัตร เนื่องจากผู้ถือบัตรต้องมีรายได้ต่อเดือนไม่น้อย <br /><br />ที่สุดแล้ว ผมคิดว่า ก็คงจะมีบางคนที่ยังจะบอกว่า ฉันไม่กล้าใช้หรอก เพราะชาวบ้านก็รู้สิว่า เป็นเกย์ ผมคิดว่า คนที่ยังกลัวคนอื่นจะรู้ความจริงของต้วเองอยู่ ก็ไม่น่าจะใช่ลูกค้าของบัตรนี้ <br /><br />ลูกค้าของบัตรก็คือ ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการที่ประกาศอยู่ในรายการอยู่แล้ว และเป็นผู้บริโภคที่พูดคำว่า I AM ได้โดยไม่ต้องแคร์สายตาชาวบ้าน หรือกังวลใจ (หรือคิดไปเอง) ว่าจะมีใครมาดูแคลน พวกเขาคือผู้บริโภคไม่มีความกลัวมาเป็นนายอีกแล้ว พวกเขาคือ ผู้บริโภคที่เข้าใจคำว่า I AM WHAT I AM อย่างลึกซึ้ง ยืดอก ยอมรับความจริงของตัวเอง รักมัน และถ้าจะ Empower หรือมาช่วยเติมพลังให้กันและกันมากขึ้นไปอีกนิด มีอีกบัตรหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจะตั้งชื่อว่า<br /><br /><strong>So what? …เป็นเกย์ แล้วไง?</strong><br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-45213430398036262982007-03-25T23:22:00.000+07:002007-03-25T23:26:32.605+07:00กว่าจะถึงวันนี้ของเรา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9Ek1k_7KacPQ48vUy4YI9le0CKJYsjm8RAcvs_OkCutduDqquC8-fapWPpNU3qm09h0Oo2-vNNszdG4cmzXYCS-J4-nXfgrBI1h3TFr0k2mdyJ8OPEut6FigQ4-lTLZTxzDHk/s1600-h/Shower05.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9Ek1k_7KacPQ48vUy4YI9le0CKJYsjm8RAcvs_OkCutduDqquC8-fapWPpNU3qm09h0Oo2-vNNszdG4cmzXYCS-J4-nXfgrBI1h3TFr0k2mdyJ8OPEut6FigQ4-lTLZTxzDHk/s400/Shower05.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5045898918792116418" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 24-25 March 2007 <br /> <br /><strong>“ธนา” เพิ่งนึกออกโปรเจ็กต์ที่เขากำลังหาข้อมูลอยู่ มีบุคคลหนึ่งที่น่าจะช่วยให้มันลุล่วงได้ และอีกอย่าง เขากับ “พจน์” ไม่ได้คุยกันมาสักพักใหญ่แล้ว งั้น...คงเป็นโอกาสอันดีที่จะโทรฯ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อนรุ่นน้องคนนี้เสียเลยดีกว่า</strong><br /><br />พจน์เปลี่ยนเบอร์มือถือ เขาเลยโทรฯ ไปที่บ้าน สองสามหนก็แล้ว พจน์ไม่เคยอยู่บ้านทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด เขาคงมีธุระยุ่ง<br /><br />ตอนเรียนอยู่ที่เดียวกัน สองคนสนิทกันมาก เวลามีปัญหาอะไร พจน์จะขอความเห็นจากธนาก่อนเสมอ เรียนจบ ต่างคนก็ห่างเหินกันไปตามวิถี ธนาเคยนึกอยากให้วันคืนดีๆ ที่สนุกสนานเฮฮากับน้องผู้นี้กลับมาอีกครั้ง <br /><br />ตกเย็นแล้ว เขาลองอีกครั้ง คราวนี้มารดาของพจน์รับสาย หล่อนรู้สึกแปลกใจ แต่สิ่งที่หล่อนกำลังจะบอกธนา มันน่าแปลกใจยิ่งกว่า<br /><br />“ไม่อยู่จ้ะ....เพิ่งแต่งเมียไป เมื่อต้นปีนี้เอง ต้องขอโทษแทนพจน์ด้วยนะที่ไม่ได้บอก แต่งกันแบบเล็กๆ ง่ายๆ น่ะ” เสียงมารดาเจื้อยแจ้ว<br /><br />ข้อมูลอีกอย่างที่ทุ่มความอึ้งทิ้งไว้ในหัวของธนาก็คือ คนที่เขาแต่งด้วยเป็นรุ่นน้องผู้หนึ่งที่ธนาก็รู้จักดี เขานึกทบทวนอย่างรวดเร็ว สองคนนี้ไม่เคยมีวี่แววใดๆ ว่าจะควงกันเป็นแฟน หรือมีแผนจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลย อีกอย่าง น้องผู้หญิงก็ไม่เคยสนผู้ชายอย่างพจน์ ส่วนพจน์เคยประกาศก้องถึงคุณสมบัติของเมียในอนาคต ที่ฟังดูแล้ว ไม่น่าจะมีอยู่ครบในผู้หญิงคนใด <br /><br />หลังจากมารดาบอกเบอร์ใหม่ของพจน์ ธนาพยายามสะกดกลั้นความสงสัยที่อยากจะถามต่อ เขาต้องไม่ถามอะไรมากกว่านั้นเพื่อจะได้รู้ความจริงด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน เขาก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ที่รุ่นน้องคนสนิทอย่างพจน์แต่งงานไปโดยไม่บอกสักคำ?<br /><br />เขาโทรฯ ไปอีกครั้ง แต่พจน์ไม่รับสาย จนกระทั่งสี่ทุ่ม พจน์โทรฯ กลับมา พูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ<br /><br />“พี่ครับ เดี๋ยวผมโทรฯ ไปใหม่นะครับ....รอให้แฟนหลับก่อน” <br /><br />เขายิ่งรู้สึกงงที่ได้ยินอย่างนั้น เขาโทรฯ หาพจน์ทั้งวัน แล้วพอได้รับโทรศัพท์ ก็ต้องรอต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมาย เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ห้าทุ่มเศษแล้ว และแล้วพจน์ก็โทรฯ มาอีกครั้ง การได้คุยกันครั้งนี้ นั้น ธนาไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังเผชิญกับอะไรอยู่<br /><br />“ทำไมเอ็งแต่งงานไม่บอกข้า?” เขายิงคำถามที่สุดแสนอัดอั้น<br /><br />“ผมเหงาน่ะครับ” พจน์ตอบลอยๆ <br /><br />ธนาเริ่มไม่เข้าใจยิ่งขึ้น เหงาน่ะเหรอ ถึงแต่งงาน? “นี่ตกลงเอ็งรักเขาไหมเนี่ย” เขาสวนกลับ <br /><br />พจน์เงียบไปสักพัก แล้วเขาก็พูดสิ่งที่เพื่อนผู้พี่คนนี้ หรือใครก็ตามไม่เคยคาดคิดมาก่อน<br /><br />“พี่ธนาครับ...พี่คิดยังไงกับผม” <br /><br /><br />“ก็เอ็งเป็นรุ่นน้องข้า ข้าก็คิดเหมือนเอ็งเป็นน้องชาย…ถามทำไม” <br /><br />“แต่ผมไม่ได้คิดอย่างงั้นกับพี่” เสียงของอีกฝ่ายหนักแน่นขึ้น<br /><br />“อะไรวะ เอ็งเป็นไรไปเนี่ย” ธนาเริ่มหงุดหงิด หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรง ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย แต่สายไปเสียแล้ว<br /><br />“ผมอยากจะบอกพี่มาตั้งนานแล้ว....พี่ครับ...ผมรักพี่”<br /><br />ธนาพูดอะไรไม่ออกในเวลานั้น ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง เขาบอกว่าเขารู้สึกช็อคมากแค่ไหนที่ยินคำนั้นจากปากรุ่นน้องอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีบอกใบ้หรือบอกทาง เขายืนยันว่า เขาไม่เคยมีจิตพิศวาสกับพจน์มาก่อนเลย เป็นไปได้ยังไงที่มาสารภาพรักกับเขา ตอนนี้ ณ เวลานี้ ในสถานภาพของสามีของผู้หญิงคนหนึ่ง? แล้วหล่อนก็เป็นคนที่เขาก็รู้จักคุ้นเคย <br /><br />มันอะไรกันเนี่ย? <br /><br /><br />“พี่ครับ ผมอยากจะบอกพี่มาตั้งนานแล้ว ผมเห็นพี่ครั้งแรกที่มหา’ ลัย ผมก็ชอบพี่เลย แต่พี่ไม่เคยเห็นผมเลย” เสียงตัดพ้อไหลมาตามสาย<br /><br />“ก็บอกแล้วไงว่า มีอะไรให้มาปรึกษา มาถามได้ แล้วทำไมไม่มาบอกก่อนจะแต่ง” ธนาเริ่มเสียงดัง<br /><br />“แล้วถ้าผมบอกไป พี่จะรับผมเป็นแฟนหรือเปล่า” <br /><br />อีกครั้งที่ธนาต้องอึ้งกับสถานการณ์ที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดกับตัวเอง แล้วจะทำยังไงต่อไป? เขาถามตัวเองว่า เขาแน่ใจหรือว่า เขาไม่เคย “รู้สึกเป็นพิเศษ” อะไรกับรุ่นน้องคนนี้? ตอนเรียน เขาไม่ได้เปิดเผยให้ใครๆ รู้เลยว่า เขาก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน เขาเป็นนักกีฬา สุดยอดนักนักกีฬา ใครจะคิดว่า เขาเป็นเกย์คนหนึ่ง แล้วพจน์รู้ได้ยังไง?<br /><br />แต่ความทรงจำของพจน์แจ่มชัดอยู่เสมอ เขาเริ่มย้อนความให้ธนารับรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาพยายามจะบอกธนาว่า เขาหลงรักพี่ชายคนนี้มานานแล้ว <br /><br />“พี่จำได้ไหม ผมเคยนอนกอดพี่ ผมเคยขอจับ....พี่ พี่ก็ไม่เคยปฏิเสธผม พี่ไม่ชอบนอนบนที่นอน ผมก็ย้ายลงมานอนกับพี่บนพื้น เป็นเพื่อนพี่ ตอนเราไปออกค่ายกัน ตอนช่วงซัมเมอร์ พี่ไม่รู้หรอกว่า ผมรู้สึกแย่แค่ไหน ที่พี่ไม่เคยชวนผมไปพักค้างคืนด้วยเลย ตอนพี่ย้ายออกมาอยู่คนเดียว แต่พี่ก็ชวนคนอื่นๆ ไป” <br /><br />ธนาเริ่มรู้สึกว่า เรื่องราวชักบานปลายใหญ่โตกว่าที่เขาคิด เขารีบตัดบท “แล้วนี่เอ็ง แต่งงานไป เดี๋ยวมีลูกขึ้นมา จะทำยังไง” <br /><br />พจน์บอกว่า เขาระวังตัวอยู่แล้ว และพยายามให้ภรรยากินยาคุมอยู่เสมอ “ผมแต่งงานได้ ผมก็เลิกได้” พจน์ประกาศอย่างมั่นใจ <br /><br />ธนารู้สึกสับสน แต่งงานเพราะเหงา? มันเข้าใจยากจัง พจน์อ้างว่า แฟนของเขาก็บอกว่า เหงาเหมือนกัน <br />วันนั้น ธนาได้คุยกับพจน์ยาวนานมากทั้งๆ ที่เขารู้สึกอึดอัดขึ้นทุกขณะ แต่ก็ยังพยายามมองหาทางออกให้รุ่นน้องอย่างที่เขาเคยทำมา พจน์เสนอตัวว่า จะขับรถข้ามจังหวัดมาหาเขาถึงที่พักในวันรุ่งขึ้น เขาปฏิเสธ แต่ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ ธนาต้องย้ำกับพจน์อีกครั้ง “สิ่งใดที่คนเราทำขึ้น เราต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และรู้จักจัดการให้ดีที่สุดนะ”<br /><br />ตอนนี้ พจน์กลับเป็นฝ่ายที่โทรฯ มาหาธนา ธนาไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร หรือมันจะคาราคาซังอย่างนี้?<br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com13tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-58458756679218013252007-03-18T13:22:00.000+07:002007-03-18T13:34:30.314+07:00Go! Go! G-Boys<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWuzsbXnGG2AUTARaaVS3YmWxnHUD6k1PqJ-clUBCvyeFfDs0nZios69kIOStNXqiC_ug_oWAXu6Glrq4M_vFqODV3M4NhBDoRirtuaYrfON3sjacqECsacund4UW_kUE_0oC0/s1600-h/go_gboys.jpg"><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWuzsbXnGG2AUTARaaVS3YmWxnHUD6k1PqJ-clUBCvyeFfDs0nZios69kIOStNXqiC_ug_oWAXu6Glrq4M_vFqODV3M4NhBDoRirtuaYrfON3sjacqECsacund4UW_kUE_0oC0/s400/go_gboys.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5043148519788870226" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 17-18 March 2007<br /><br /><strong>ใครไปดู Go! Go! G-Boys แล้ว คงอดไม่ได้ ต้องนึกเปรียบเทียบกับ Formula 17</strong> <br /><br />Formula 17 (ฉายที่ House RCA ในปี 2005) เป็นหนังดังจากไต้หวันเรื่องแรกที่เปิดตลาดหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ให้ผู้ชมในบ้านเราได้ดูอะไรใหม่ๆ แต่ต้องยอมรับว่า หนังแนวผี กะเทย วิ่งไล่จับกันไปมา และมักมีดาราเป็นดาวตลกคณะ “คนหน้าซ้ำ” ดึงดูดผู้ชมได้อย่างกว้างขวาง จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ชมบ้านเราไม่เบื่อบ้างหรือไง? <br /><br />ในแง่โปรดักชั่น Formula 17 ละเมียดละไมมากกว่า Go! Go! G-Boys และผมเชื่อว่า ผู้ชมส่วนใหญ่ที่ได้ดูทั้งสองเรื่อง คงติดอกติดใจ Formula 17 มากกว่า <br /><br />ด้านเนื้อหา “G-Boys” บรรจุ sub-plots ที่น่าสนใจ และมีจุดโฟกัสของตัวเรื่องที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักสองคน เรื่องพัฒนาไปถึงจุดนั้นได้ และมีฉากน่าประทับใจจนคุณต้องซึ้งตาม ผมชอบวิธีดึงตัวละครสองตัวเข้าหากันของหนัง <br /><br />ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนที่สุดของ Formula 17 คงอยู่ที่ “จินตนาการ” ที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่า ในประเทศไต้หวัน มีแต่เกย์ ไม่มีผู้หญิงเลย ประเด็นต่างๆ ที่ชาวสีรุ้งในโลกปัจจุบันประสบอยู่จึงไม่จำเป็นต้องถูกหยิบยกมาพูดถึง เลยทำให้ผู้สร้างมีอิสระเพียงพอ ไม่ต้องพะวักพะวงแง่มุมเชิงสังคมต่างๆ ที่ท้าทายชีวิตคนเป็นเกย์<br /><br />เพื่อนบางคนบอกว่า Formula 17 หวาน-เลี่ยน-เพ้อฝันเกินไป แต่ก็มีอีกหลายคนที่เปิดดีวีดีหรือวีซีดีเรื่องนี้ดูอีกรอบแล้ว<br /><br />Go! Go! G-Boys เป็นเรื่องราวของอาฮุง (เต๊ะ ศตวรรษ) กับอาชิน (เฉียงคางตัง) ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็ก อาชินเปรียบเสมือนเทวดาประจำตัวอาฮุงที่คอยช่วยเหลือในทุกสถานการณ์ เขาหลังรักอาฮุงมาตลอด อาฮุงต้องการช่วยแฟนสาวชดใช้หนี้บัตรเครดิตจึงพาตัวเองเข้าแข่งขันประกวดสุดยอดหนุ่มเกย์ประจำไต้หวัน เพื่อชิงเงินรางวัลก้อนโต อาชินเข้าร่วมประกวดด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มถูกพิสูจน์เมื่ออีกฝ่ายเปิดใจมากขึ้น ขณะที่สถานการณ์เริ่มยุ่งเหยิงเมื่อมีมือมืดที่เกลียดเกย์ขู่จะวางระเบิดกองประกวดและผู้เข้ารอบสุดท้าย ในนั้นมีตำรวจหนุ่มหล่อปลอมตัวเข้าประกวดเพื่อสืบคดีนี้ เสียดายเรื่องไม่ได้บอกว่า มือระเบิดเกลียดเกย่นะ เป็นเกย์เองหรือเปล่า?<br /><br />ก่อนภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย (8 มีนาคม) คุณผู้อ่านคงได้อ่านข่าวเกี่ยวกับพระเอกของเรื่องคือ เต๊ะ (Tae) นักแสดงและนักร้องจากไทยที่ไปโด่งดังในไต้หวันและบทจูบ “10 เทค” ของเขากับนักแสดงอีกคน <br /><br />ผมเองไม่แน่ใจว่า เป็นข่าวจงใจประชาสัมพันธ์สร้างกระแสความสนใจหรือเปล่าที่ใช้ประเด็นว่า “เต๊ะตกต่ำเล่นหนังเกย์” <br /><br />คนที่เขียนข่าวอย่างนี้ถือว่าใจแคบและทำความผิดอยู่นะครับ คือผลิตซ้ำอคติเรื่องเกย์ ว่าร้ายคนเป็นเกย์และว่าร้ายความเป็นเกย์ <br /><br />หนังเกย์หรือหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ไม่ได้หมายถึงหนังโป๊หรือหนังใต้ดิน แต่เอาเถอะครับ ถึงแม้จะเป็นหนังโป๊หรือหนังใต้ดิน ในบางประเทศก็เป็นอุตสาหกรรมใหญ่โตและไม่ผิดกฎหมาย ใครที่พูดถึงหนังเกี่ยวกับเกย์แล้วจิตใจคิดถึงหนังโป๊ทุกที คงดูเพลินไปหน่อย<br /><br />สำหรับ G-Boys ผมต้องขอชื่นชมเต๊ะนะครับที่ให้สัมภาษณ์ได้ดีเกี่ยวกับการแสดงบทจูบที่เล่นกับนักแสดงอีกคน เต๊ะไม่กลัวเรตติ้งจะตก ขณะที่มีนักแสดงอีกหลายคนเลือกที่จะศิโรราบทำตามกระแสที่เชื่อไปเองว่า คนดูมักจะแอนตี้เกย์ เลยขอปฏิเสธบทเกย์ <br /><br />เขาคงลืมนึกไปว่า ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว นักแสดงชายที่มีฝีมือ แสดงได้ดี ประทับใจผู้ชมผู้หญิงและผู้ชมผู้ชาย ถ้าเขาแสดงได้ประทับใจเหล่าเกย์ด้วย เขาจะยิ่งดังดีและดังนาน เพราะเขาเข้าถึงผู้ชมได้ทุกกลุ่ม <br /><br />ในเรื่องนี้ เต๊ะสอบผ่านเรื่องการแสดง ผมรู้สึกทึ่งในตัวเขาไม่น้อยที่ได้เห็นนักแสดงไทย พูดภาษาจีน เล่นหนังรับบทเกย์ ไม่กลัวกระแสจอมปลอมเรื่องแอนตี้เกย์ และเขาก็ไม่สั่นคลอน<br /><br />ใครที่คิดจะไปดูหนังเรื่อง Go! Go! G-Boys แล้วหวังใจว่าจะได้เห็นบทเลิฟซีนที่ร้อนแรง ควรเปิดดูหนังโป๊ที่บ้านจะดีกว่า เรื่องนี้ไม่ได้เน้นบทเลิฟซีนเลย (ซึ่งก้อ...น่าเสียดายอยู่เล็กน้อย) แต่ต้องบอกว่า เต๊ะจูบกับผู้ชายได้เป็นธรรมชาติจริงๆ <br /><br />วันที่ผมไปดูเป็นวันอาทิตย์รอบเที่ยง คนดูเกินครึ่ง หลายคนมาคนเดียว รอบนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นหญิงกลุ่มใหญ่หัวเราะเกือบทุกฉาก ส่วนคนดูชาวสีรุ้งก็ไม่ได้ทำหน้าหวาดๆ ตื่นๆ เหมือนที่ผมเคยเจอเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้เวลาไปดูหนังที่เกี่ยวกับเกย์ หนังเรื่องนี้ไม่ได้จัดอยู่ในประเภท “must see” นะครับ แต่เป็นหนังที่ชรช. และคนที่นิยมชาวสีรุ้ง ควรไปดูกันเพื่อ “see spirit” กัน<br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com8tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-19034114866221976912007-03-11T18:40:00.000+07:002007-03-11T18:54:30.867+07:00Sydney Gay & Lesbian MARDI GRAS 2007<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP8FZy8CrPgXBuQpZzv2iy3dKgA_27NAI3n55JdpW8xD89Ei8n05B-ZN38JuLM1OFmyi9Ss1JmIeSBXbEu0-pT7UKD_7chi54d0RF8_Q-r2IpNCaFg-5CtBbP5drTzeEPkQpDJ/s1600-h/mardigras_collage.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP8FZy8CrPgXBuQpZzv2iy3dKgA_27NAI3n55JdpW8xD89Ei8n05B-ZN38JuLM1OFmyi9Ss1JmIeSBXbEu0-pT7UKD_7chi54d0RF8_Q-r2IpNCaFg-5CtBbP5drTzeEPkQpDJ/s400/mardigras_collage.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5040630745535445554" /></a><br />เลิกแอบเสียที 10-11 มีนาคม 2007 <br /><br /><strong>พอ “รูเพิร์ต เอเวอเรตต์” ดาราดังจากฮอลลีวู้ด ก้าวขึ้นบนรถเก๋งสีแดงเปิดประทุน ผู้คนกว่า 7500 คนก็ได้รับสัญญาณเพื่อเตรียมตัวออกเดิน แล้วงานพาเหรดประจำปีอันเลื่องชื่อของซิดนีย์ “ซิดนีย เกย์และเลสเบี้ยนมาร์ดิ กราส์ 2007” ก็เริ่มต้นขึ้น.</strong><br /><br />บนถนนอ็อกฟอร์ด สองข้างทางแทบไม่มีที่เหลือให้ใครยืน ผู้คนมาจับจองพื้นที่ริมฟุตบาท เบียดเสียดแย่งกันหาตำแหน่งการรับชมที่ดีที่สุด ผมกับเพื่อนได้อภิสิทธิ์สื่อมวลชนเข้าไปเก็บรูปผู้เข้าร่วมเดินพาเหรดแบบถึงตัว ขณะที่พวกเขากำลังตั้งขบวนตั้งแต่เย็น จนไม่เหลือหนุ่มหล่อคนไหนให้เก็บอีก ไม่ใช่หรอกครับ กล้องแบ็ตฯ หมดเกลี้ยงซะก่อน<br /><br />เสียงบีบแตรหูดับตับไหม้จากขบวน “Dikes on Bikes” หรือขบวนมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์หญิงรักหญิงทำผู้คนคึกคักฮือฮา เสียงโห่ร้องกึกก้องส่งกลับไปให้ผู้ร่วมเดินขบวนที่ค่อยๆ เผยโฉมเข้ามาทีละคณะตรงหัวถนน พวกเขายิ้มให้กับมือนับร้อยนับพันที่กำลังกวัดแกว่งโบกทักทายด้วยไมตรี<br /><br />ขบวนมอเตอร์ไซค์หญิงรักหญิงที่วิ่งนำเปิดขบวนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพาเหรดแบบนี้ทั่วโลกล่ะครับ และอีกธรรมเนียมหนึ่งก็คือ ต้องมีประธานนำขบวน ที่ซิดนีย์เรียกว่า “Chief of Parade” บางแห่งก็มีเรียก “Marshall” หรือ “Grand Marshall” บ้าง ปีนี้ผู้จัดงานได้รับเกียรติจากรูเพิร์ต ใครที่ชอบเรื่อง My Best Friend Wedding จะต้องจำเขาได้ ถึงเขาจะมีบทพูดไม่เท่าไหร่ และเล่นเป็นแค่ตัวประกอบ ช่วงที่มีงานพาเหรด นักแสดงหนุ่มใหญ่จากอังกฤษผู้นี้กำลังโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ในซิดนีย์อยู่ <br /><br />ขบวนทั้งหมดจะใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมง ในการเดินสำหรับระยะทางกิโลกว่าๆ เวลาได้เห็นผู้คนมหาศาล ได้ยินเสียงเพลงกระหึ่มกึกก้อง ผมสงสัยจริงๆ ล่ะครับว่า ถ้าตัวเองไปยืนอยู่ในนั้น ตรงกลางถนน แล้วมีสายตาผู้คนนับหมื่นมองกลับมา จะรู้สึกยังไง <br /><br />มันคงคึกคักฮึกเหิมในจิตวิญญาณไม่น้อย คิดดูสิครับ ตอนเป็นเกย์ในวันธรรมดา ก็อาจจะเจอผู้คนไม่พอใจ เจอนัยน์ตาแปลกๆ ตามโอกาส แต่ในวันนี้ คนที่เดินอยู่ในขบวนเหล่านี้ คงรู้สึกเหมือนบุคคลสำคัญของสังคมคนหนึ่ง เหมือนคนที่มีค่าที่ใครๆ ชื่นชมและนิยมได้ ถ้าความรู้สึกนี้ได้รับการกระตุ้นเตือนอยู่บ่อยๆ ในใจเราทุกๆ วัน คงจะดีไม่น้อย<br /><br />งาน “Sydney Gay & Lesbian Mardi Gras 2007” เป็นงานพาเหรดประจำปีภาคกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปกติงานประเภทนี้ในที่อื่นจะจัดตอนกลางวัน ในอเมริกาจะเรียกงานนี้สั้นๆ ว่า เกย์พาเหรด และจัดทุกเดือนมิถุนายนในแทบทุกรัฐของประเทศ แต่ที่ออสเตรเลียจัดตอนกลางคืน ที่นั่นกลางวันแดดร้อนจัด ไม่คนดู ก็คนเดินนั่นแหละคงเป็นลมไปซะก่อน <br /><br />ผมเดินเบียดผู้คนไปเรื่อยๆ หยุดดูขบวนต่างๆ บางครั้งโดยเฉพาะขบวนที่มีเสียงเพลงแดนซ์มันส์ๆ จากทั้งหมด 117 ขบวน หรือเรียกว่า “Float” เขาจะแข่งกันแต่งตัวในแต่ละ Float หาความคิดสร้างสรรค์มานำเสนอเรียกความสนใจ ขบวนที่มีหนุ่มหล่อ ถอดเสื้อ หุ่นดี มักจะได้รับความสนใจเสมอ คุณมาร์คัส บูร์เจย์ ประธานจัดงานเล่าให้ฟังว่า แต่ละขบวนจะต้องนำเสนอความคิดสร้างสรรค์มาก่อน ผู้จัดจะมี Creative Director กับทีมงานคอยช่วยกำกับ แต่เท่าที่ผมสังเกตดู ก็มีขบวนที่ดูแสนจะธรรมดา เรียบง่ายเหมือนไม่ได้เตรียมตัวอะไร แต่โดยรวมแล้ว ก็สนุกสนานคึกคักกว่าพาเหรดหลายแห่งที่เคยเห็น<br /><br />ขบวนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เห็นจะไม่มีใครเกินกองทัพนักเต้นของป๊อบพรินเซสขวัญใจชายสีรุ้งและชาวออสซี่ ก่อนหน้านี้มีข่าวมาว่า ไคลี มิโนค จะไม่ส่งอะไรเข้าร่วมปีนี้ แต่ในที่สุดก็มีหนุ่มสาวแดนเซอร์กว่า 250 ชีวิต มาอวดโฉม มีไคลีตัวปลอมอีกสามนางเดินนำขบวนที่แยกเป็นสามส่วน แต่ละส่วน มีรถบรรทุกคันใหญ่ของตัวเอง สาดไฟสว่างไสวเรืองรองให้นักเต้นที่เดินตาม ใช้เพลงดังสามเพลงประกอบ ขบวนไคลีกลายเป็นขบวนยาวเหยียดราวกับงูเลื้อยไปตามถนน เหมือนหอบเอาคอนเสิร์ตมาเดินขบวน<br /><br />อีกคณะหนึ่งที่ผู้คนตั้งใจรอชมก็คือ Asian Marching Boys ที่รวมเอาหนุ่มหน้าตี๋เสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีแฟนและเพื่อนฝรั่งผิวขาวมาร่วมแจมด้วย ขบวนนี้สร้างชื่อเสียงให้เกย์ชาวเอเชียไม่น้อย พวกเขาดูน่ารัก น่าเอ็นดูแตกต่างจากขบวนอื่นๆ ที่เป็นฝรั่งตัวโต หุ่นบึ้ก<br /><br />ในพาเหรดนี้มีขบวนที่มีคนไทยอยู่ไม่น้อยนะครับ นักเรียนไทยมาเรียนที่ซิดนีย์กันเยอะ มีขบวนหนึ่งชื่อว่า Thai’d Together รวมฮิตเพื่อนฝูงชาวเอเชีย และอีกขบวนมาจากประเทศไทยโดยสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ซึ่งมาประชุมและอบรมกันที่นี่ก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมเดินในชุดไทยสีทองอร่าม<br /><br />เคยมีคนถามผมว่า เวลาเกย์แก่ หรือกะเทยแก่แล้ว พวกเขาไปอยู่กันตรงไหน ถ้าตอบตอนนี้ ก็คงบอกว่า ก็มาอยู่ในพาเหรดนี่ไง ในขบวน Sequins –Mature Aged Gays เหล่าเกย์อาวุโสนับสิบไม่เดินให้เมื่อยตุ้ม แต่ท่านยืนโบกทักทายผู้คนอยู่บนรถบัสเปิดหลังคาสูงสองชั้น มันเป็นภาพของความหลากหลายของผู้คนในสังคม ที่ไม่ได้แค่แตกต่างเรื่องทางเพศ แต่แตกต่างทั้งเชื้อชาติ ผิวพรรณ และอายุ ในพาเหรดเราจะเห็นผู้อาวุโสบางคนแต่งตัวเหมือนหนุ่มสาว โชว์เนื้อหนังเหี่ยวย่น ผมว่า มันเป็นเครื่องเตือนใจอย่างหนึ่งเรื่องสังขาร และอีกอย่างก็คือ ในสังคม ไม่ใช่มีแต่คนหุ่นดี หรือคนหนุ่มสาวเท่านั้นที่เป็นสมาชิกของสังคมนี้<br /><br />มีอีกหลายขบวนที่น่าสนใจครับ แต่ผมว่า ให้รูปเป็นตัวเล่าเรื่องต่อดีกว่า ตอนนี้ผมกำลังคิดๆ ว่า ปีหน้า ซิดนีย์เกย์และเลสเบี้ยนมาร์ดิ กราส์จะฉลองครบสามสิบปี ถ้ามีโอกาส ผมคงไม่อยากเป็นแค่คนดูแล้ว ดูภาพและรายละเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.mardigras.org.au/">http://www.mardigras.org.au</a><br /><br />(ป.ล. ขอขอบคุณอาจารย์ปีเตอร์ แจ็คสันและมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียที่หาทุนสนับสนุนและจัดการเดินทางครั้งนี้ขึ้น)<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com8tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-69319191429837217162007-03-04T21:28:00.000+07:002007-03-04T22:04:29.704+07:00การเดินทางของเด็กชายสายรุ้ง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjF5qQNfpfCix0TzRxqiDQ92j2bht10_pOW0QI-TsMKWrFAnOwIlRpOj1_H9rmURebl9wJWOZwJHb6JY3CLl2R0ATCfHffE0EJo6knBFEXaz-zIOgk0lzKp4UEQqZNWw7kZvbng/s1600-h/thank_you.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjF5qQNfpfCix0TzRxqiDQ92j2bht10_pOW0QI-TsMKWrFAnOwIlRpOj1_H9rmURebl9wJWOZwJHb6JY3CLl2R0ATCfHffE0EJo6knBFEXaz-zIOgk0lzKp4UEQqZNWw7kZvbng/s320/thank_you.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5038083928985833714" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 3-4 March 2007 <br /><br /><strong>ตั้งแต่วันแรกที่ผมกับเพื่อนๆ คิดว่า อยากจะแปลงหนังสือเกี่ยวกับเกย์วัยรุ่นเรื่อง “เรนโบว์บอยส์” ให้เป็นหนังดีๆ สักเรื่องหนึ่ง เราไม่นึกมาก่อนเลยว่า มันจะใช้เวลายาวนานเช่นนี้ และแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (24 ก.พ.) การเดินทางของทัศน์-ณัฐ-และเอกก็มาถึงจุดหมายที่เราได้ตั้งใจไว้.</strong><br /><br /> หนังเรื่องนี้ฉายที่เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ปลายปี 2005 เราวางแผนว่าจะทำเป็นวีซีดีได้ประมาณกลางปี 2006 หลังจากคุยกับผู้จัดจำหน่ายหลายบริษัท ทุกๆ คนก็เห็นศักยภาพของตลาดนะครับ แต่ก็มีอุปสรรคบางอย่าง จนในที่สุด เราก็ค้นหา จนได้เพื่อนผู้ร่วมทางอีกคนมาเป็นผู้จัดจำหน่ายจนบรรลุโครงการ ผมคงต้องขอขอบคุณทีมงานของบริษัทเค มาสเตอร์ ซึ่งบริษัทลูกของอาร์เอส โปรโมชั่นไว้ ณ ที่นี้ด้วย<br /><br /> และวันนี้ ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่าน แฟนๆ คอลัมน์ แฟนๆ หนังสือ แฟนๆ หนัง เพื่อนๆ น้องๆ และบุคคลอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม ท่านทั้งหลายคือ ยาชูกำลังขนานวิเศษสำหรับพวกเราตลอดมาตั้งแต่เริ่มค้นหานักแสดง ถ่ายทำ และเข้าฉาย จนลงแผ่นวีซีดี<br /><br /> ที่เซ็นทรัลเวิล์ด พลาซ่า ห้างฯ Zen (ไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นนะ) บนชั้นห้า ตอนบ่ายแก่ๆ เรามีงานกึ่งขอบคุณ กึ่งประกาศว่า หนังเรื่องนี้วางแผงเป็นวีซีดีแล้วล่ะ ผมรู้ดีว่า มีหลายๆ ท่านซุ่มอยู่แถวๆ นั้น แต่คงยังเกรงๆ หรือเกร็งๆ อยู่<br /><br /> บางท่านคงยังไม่ชินกับงานแบบนี้ มาพูดอะไรกันเรื่องเกย์ๆ ในห้าง… และอาจจะกลัวคนอื่นรู้ ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่มาช้อปปิ้ง บางท่านก็เลือกจะยืนอยู่ห่างๆ และบางท่านก็เดินวนไปวนมา <br /><br /> พื้นที่จัดงานตรงนั้น สำหรับผม มันคือ ความฝันที่กลายเป็นจริง และความจริงที่ไม่เคยนึกฝัน ปนๆ กัน<br /><br /> ความฝันก็คือ ฝันอยากจะทำหนังเกี่ยวกับชายรักชายให้ผู้คนรับรู้ และอยากจะดู อยากให้เมืองไทยมีผลงานสักเรื่องที่พูดเรื่องการเป็นตัวของตัวเอง “แนวเติบโต และเรียนรู้ชีวิต” ฉบับเกย์น่ะครับ (gay coming-of-age) ซึ่งหลายๆ ประเทศก็มีหนังแนวนี้อยู่แล้ว ยกเว้นที่นี่ ประเทศไทย<br /><br /> อีกอย่าง เท่าที่ผ่านมา ผมคิดว่า การพูด หรือเขียนบอกใครๆ ว่า คนที่เป็นเกย์และยังต้องแอบอยู่ จะสามารถมีความสุขได้ จะสามารถเลิกวิตกกังวลได้ หากเราจัดการกับความกลัวนั้นด้วยการ “เลิกแอบ” ก็ดูยังไม่เพียงพอในการสื่อสารวงกว้าง เพราะไม่มีภาพให้เห็น ไม่มีเสียงให้ได้ยิน ไม่มีอารมณ์ให้รับรู้และสัมผัสถึง<br /><br /> ผมหวังว่า การนำเสนอด้วยสื่อที่เป็นหนัง จะเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าได้ไปฉายในโรงเรียนนะครับ พวกเราคงยิ้มไม่หุบแน่<br /><br /> ส่วนที่เป็นความจริงที่ไม่เคยนึกฝันก็คือ ได้มีพื้นที่สาธารณะสักแห่ง ในห้าง หรือที่เปิดกว้าง พูดถึงเรื่องเกย์ อย่างเปิดเผย พูดอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องกลัวจะมีคนมาแจ้งข้อหาว่า “เดี๋ยวลูกหลานเห็นแล้วจะเป็นเกย์กันหมด” ที่ Zen ชั้น 5 ตรงนั้น คือเวทีที่เปิดกว้างสำหรับทุกๆ คน เป็นพื้นที่แห่งการยอมรับตัวตนของทุกๆ คนที่มาร่วมงาน ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีตู้ให้หลบ<br /><br /> ก่อนหน้านั้น เวลาเราจัดงานอะไรที ก็จะต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องหาสถานที่กึ่งปิด ไม่ใช่ร้านอาหาร ก็ร้านกาแฟ ห้องส่วนตัว หรือไม่ก็มุมใดมุมหนึ่ง ในแง่มุมหนึ่ง มันสร้างความรู้สึกผิดๆ ที่ว่าเวลาจะพูดอะไรเรื่องนี้ ก็ต้องคอยกระซิบ บางครั้งความเป็นส่วนตัวก็ดีนะครับ ทำให้สบายใจ แต่มันก็ไม่ได้ฝึกใจเราให้เราท้าทาย ให้เราได้ลอง “วัดใจ” ของเราเอง<br /><br /> “การเลิกแอบให้เกลี้ยง” ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ต้องค่อยๆ ทำ และอย่างที่บอกทุกครั้ง มันเป็นทางเลือก ไม่ใช่ไฟท์บังคับ ลองพาตัวเราไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องบังคับตัวเราเองให้เป็นตัวเองสิครับ ความวิตกกังวลจะลดลงเรื่อยๆ ผมได้เจอผู้อ่านท่านหนึ่งในงาน หลังจากเขียนอีเมลคุยกันพักหนึ่ง เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งปี เขาก็มาบอกว่า เขาเริ่มบอกเพื่อนๆ สมัยเรียน เพื่อนที่ทำงานบางคน และรู้สึกแล้วว่า มันดียังไง ที่ไม่ต้องคอยหาคำโกหกมาปกปิดว่า อยู่จนป่านนี้แล้ว (30) ทำไมยังไม่แต่งงาน ผมรู้สึกว่า เวลาเขาพูดเรื่องนี้แล้ว เขามีความสุขขึ้น<br /><br /> ในวันนั้น ผมต้องขอบคุณห้าง Zen ที่เปิดพื้นที่ให้เราได้เท้าทาย ซึ่งห้างนี้ไม่ได้เป็นห้างสำหรับเกย์เดินเท่านั้นนะครับ แต่เป็นห้างที่ต้อนรับทุกๆ คนต่างหาก และถ้าจะเหนือไปกว่านั้น ต้องไม่ใช่แค่ต้อนรับ แต่ต้อง “ยินดี” อีกด้วย ต้องรู้จักเอาใจลูกค้าทุกๆ กลุ่มอย่างเท่าเทียมและเข้าถึง<br /><br /> ส่วนที่ B2S (ที่หนังเรื่องนี้วางขาย exclusive) ผมก็ต้องขอขอบคุณด้วยอย่างยิ่งที่ให้โอกาส ให้พื้นที่และใจกว้าง ถ้ามีกลุ่มเป้าหมายไปที่นั่นมากขึ้น หนังสือเกี่ยวกับเกย์ และสินค้าที่น่าสนใจสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะมีมาวางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเราจะได้บอกต่อๆ กันไป<br /><br /> ในงานวันนั้น ทุกๆ คนผ่านประสบการณ์ “Zen” บางอย่าง คุณผู้หญิงที่มาร่วมงาน ก็ยอมรับตัวเองและความจริงที่ว่า เป็นผู้นิยมเรื่องราวเกี่ยวกับเกย์เพราะดูแล้ว หรืออ่านแล้ว ก็สุขใจ อิ่มใจ ส่วนเหล่าเกย์ที่มาร่วมงานก็ใช้เป็นเวทียอมรับตัวเองกับใครๆ ในที่สาธารณะว่า เป็นเกย์ โดยไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอีกต่อไป<br /><br /> “เรนโบว์บอยส์ เดอะมูฟวี่” คือสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพอย่างหนึ่ง เหมือนเครื่องมือที่นำให้เราทุกคนมาพบกัน และรู้จักตัวเองมากขึ้น ผมเองไม่คิดว่า ต้องทำอะไรใหญ่โตให้คนได้ชื่นชม แต่พอได้รับคำชมและคำติชมทีไร ก็ลืมเหนื่อยทุกที ลืมปัญหาต่างๆ เวลาเจอใคร หรือหน่วยงานใด หรือผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เข้าใจ และปิดกั้น และมักจะอ้างเหตุผลที่มาจากอคติของตัวเองล้วนๆ ขณะเดียวกัน บางครั้งก็เหนื่อยที่จะเถียง ถ้าท่านไม่สนับสนุน ก็ไม่ว่าอะไร แต่ขออย่าได้ขัดขวางใดๆ หรือชวนใครมาร่วมขวางเลย จะประเสริฐสุด<br /><br /> วันที่ 24 ก.พ. โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกปลดปล่อยตัวเองบางอย่าง ผมคิดว่า มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คนอื่นๆ อยากจะเปิดตัวเองมากขึ้น และทำอะไรๆ ที่ไม่คิดว่า ตัวเองจะได้ทำ หรือได้ตัดสินใจว่า จะเลิกแอบกับเพื่อนทีละคน หาอะไรท้าทาย และลองเปลี่ยนตัวเองดูนะครับ สักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะรู้ว่า อิสรภาพแห่งจิตวิญญาณมันหอมหวานยังไง<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> กลุ่มอาสาสมัครต่างๆ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประสบความสำเร็จขั้นแรกในการยื่นศาลปกครอง ให้รับฟ้องกรณี สด. 43 ที่กลาโหมระบุว่า สาวประเภทสองเป็นโรคจิต ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของกลาโหมต่อไป บัดนี้ ทางกลุ่มต้องการเงินทุนสนับสนุนเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทนายความ บริจาคได้ที่ บัญชี "กองทุนสนับสนุนและปกป้องสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ" เขียนสั้นๆ ว่า กองทุนสนับสนุนฯ ก็ได้ ธ. กรุงศรีอยุธยา สยามสแควร์ เลขที่บัญชี 123-1-34489-4 รายละเอียด คุณเล็ก (กลุ่มสะพาน) 085-041-8477<br />/ ฉบับหน้ารออ่านรายงาน เที่ยวงานเกย์มาดิกราส์ ที่ซิดนีย์<br /><br />-end-<br /><br />All rights reservedVitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-432287184864482132007-02-26T10:09:00.000+07:002007-02-26T10:17:05.098+07:0017 ปีที่เราเซอร์ไพรซ์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWK4hRaKX86p_6hZvUDvRmehw78foagYt6_t_MGdmLu2VuJUJgX3EXcs6MxeqWF22zFyJO_axgMMCnzmERTjq8GaWfEs7vFFi7M5WwrADfYhfhyn7sMfMFG124yKpROzA3-J-e/s1600-h/Dylan.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWK4hRaKX86p_6hZvUDvRmehw78foagYt6_t_MGdmLu2VuJUJgX3EXcs6MxeqWF22zFyJO_axgMMCnzmERTjq8GaWfEs7vFFi7M5WwrADfYhfhyn7sMfMFG124yKpROzA3-J-e/s320/Dylan.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5035675343770552658" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 24-25 Feb 2007<br /><br /><strong>“คุณโก้” กับคนรักของเขามีข้อตกลงบางอย่างที่น้อยคู่นักจะกล้าทำ สิบกว่าปีก่อนนั้น คงไม่มีใครรู้หรอกว่า มันจะได้ผลหรือเปล่า แต่ปัจจุบัน ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกัน เพิ่งจะย่างเข้าปีที่ 18 เมื่อปลายมกราคมที่ผ่านมานี้เอง</strong><br /> <br />“ผมบอกเขาว่า....” คุณโก้เริ่มเล่า และด้วยความที่เป็นคนพูดติดตลก การเปรียบเปรยของเขามักจะไม่ธรรมดา “....เราเข้าใจนะ เป็นเกย์ ก็ต้องชอบผู้ชาย ฉันรู้ว่า ฉันไม่ใช่คนเซ็กซ์ดี่สุดในประเทศ ไทย ไม่ใช่รูปร่างดีมาก หล่อมาก หรืออวัยวะสวยงามมาก... ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ในเมื่อฉันเห็นคนหล่อ ฉันยังมองตาม งั้น ถ้าคุณอยากไปมีอะไรกับใคร ฉันก็ไม่ว่า...”<br /><br />“แต่…” ครับต้องมีแต่ เพราะถ้าไม่มีแต่ แล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม จริงเปล่า? <br /><br />“แต่...มีข้อแม้สองข้อ 1. ต้องบอกให้รู้ก่อนว่าสนใจใคร อยากมีอะไรกับใคร อย่าให้รู้ทีหลัง ข้อ 2. (สำคัญมาก) อย่าเอาโรคภัยกลับมาที่ตัวคุณ ให้ฉันต้องดูแล หรือกลับมาใส่ฉัน” <br /><br />เวลาผ่านไป แฟนของคุณโก้ ก็ปฏิบัติตามข้อตกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณโก้เล่าให้เราฟังในรายการฮอตไลน์สายสีรุ้งช่วงสัปดาห์วันวาเลนไทน์ ผมกับผู้ร่วมจัดรายการอีกสองท่านก็สุดจะทึ่ง เราช่วยกันยิงคำถามแบบไม่เกรงใจเลยล่ะครับ “แล้วไม่รู้สึกหึง หวงมั่งเหรอ” <br /><br />“เขาจะไปปิ๊งใคร ก็ปิ๊งไป เขาก็จะมาบอกก่อน ไม่รู้สึก ไม่มีความจำเป็นต้องหึงหวงนี่ครับ ตราบใดที่เขาทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราเป็นคนมี ‘ความสำคัญสูงสุด’ สำหรับเขา” เขาเล่าอย่างมั่นใจ<br /><br />ปรัชญาง่ายๆ แต่เข้าใจยากในสายตาของใครหลายๆ คน ของเขาผู้นี้ก็คือ ต้องมีความไว้ใจกัน ถ้าคนเราไม่ไว้ใจกันแต่แรก ก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน ความไว้ใจของคุณโก้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณโก้ คือคนที่สำคัญที่สุดของแฟน หากเกิดวันใดที่แฟนกำลัง “ลั้นลา” กับกิ๊กอยู่ ถ้าเรียกกลับบ้าน แฟนต้องกลับทันที และที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น<br /><br />“เพื่อนๆ ยังบอกเลยว่า ...แกประสาทหรือเปล่า (ที่ปล่อยให้แฟนทำอย่างนั้น) เราก็บอก เฮ้ย ไม่รู้อะไร เราไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาอย่างเดียว เราเปิดโอกาสให้ตัวเราเองด้วย คนเรา ความคิดเห็น หรือรสนิยม ผ่านไประยะหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน มันไม่เบื่อเหรอ?”<br /><br />ก็จริงนะครับ ผมว่า แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า คุณโก้เองนั่นแหละที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาคิดย้อนไปว่า คงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของตัวเขาที่อยู่คนละขั้วกับแฟน เพราะตัวเองไม่ได้รู้สึกมากมายอะไรเรื่องเซ็กซ์ ซึ่งผิดกัน “นั่นเขาเซ็กซ์จัด” โก้หัวเราะ และนี่จึงเป็นที่มาของอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญ<br /><br />“ถามจริงๆ เถอะ อยากรู้มานานแล้วว่า แล้วยังมีเซ็กซ์กันอีกมั๊ย” ผู้ร่วมจัดอีกท่าน “คุณโหนก” ถามขึ้นด้วยความสงสัยสุดขีด ถึงแม้คุณโหนกจะเป็นเพื่อนกับคุณโก้และแฟนหนุ่มมานาน บางที เพื่อนกัน ก็เกรงใจไม่ถาม แต่ถึงเวลารู้ ต้องได้รู้ <br /><br />“สามปีแรกก็มีกันนะ แต่ระยะหลังต่อๆ มา (ก่อนจะมีอะไรกัน) ต้องโดนเนื้อโดนตัว แตะกัน ต้องมีจับมือ แขน โดนกัน และเราจะได้มั่นใจว่า หัวกะไส้ ต้องอยู่ด้วย” คุณโก้หัวเราะ<br /><br />สมัยที่ยังหนุ่มฉกรรจ์ หลังจากได้พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญในงานการกุศลแห่งหนึ่ง สองสามวันต่อมา ทั้งสองก็แทบกระโจนเข้าหากันทันที และในสมัยนั้น คุณโก้เล่าว่า มีใครเข้ามาในชีวิตก็ต้องคว้าไว้เพราะไม่รู้ว่า เกย์คนอื่นๆ อยู่ตรงไหนกันหมด เรียกว่าหายากพอดู ชีวิตของทั้งคู่จึงเหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว เหมือนเพลงๆ หนึ่งชื่อที่เขาบอก “Written in the stars” เหมือนชีวิตถูกลิขิตขึ้นมาก่อนแล้ว<br /><br />เขายังเล่าต่อ มีบางครั้งขนาดขับรถพาแฟนที่ไปเที่ยวบาร์ด้วยกัน แล้วแฟนขออ็อฟเด็กออกมา เขาก็ยินดีขับรถไปส่งโรงแรมให้ เพราะตอนมานั่งมาคันเดียว แถมออกเงินให้อีกต่างหาก สมัยยังหนุ่มแน่นหนหนึ่ง คุณโก้บอก เจอใครน่ารัก เขาก็พามาดำเนินการ “เราสามคน” กับแฟนที่บ้าน ก็เคยทำมาแล้ว <br /><br />อีกคำถามหนึ่ง อยากรู้ “กับใครๆ ที่ชอบพูดว่า เกย์ไม่มีกรักแท้ และรักของเกย์มักจะล่มอยู่เสมอ<br />ล่ะ คิดยังไง?”<br /><br />“เขายังไม่เจอเท่านั้นเอง เกย์ไม่ใช่เชื้อโรค เกย์คือคน ตราบใดก็ตามที่คนมีความรู้สึกใดๆ ที่เหมือนคนทั่วไป เราก็ต้องมองว่า ตัวเราก็เหมือนคนทั่วไป เรารู้สึกเหมือนคนทั่วไปได้เหมือนกัน” <br /><br />และอีกแง่คิดหนึ่งที่สนใจไม่น้อย เผื่อไว้ เขาแนะว่า สำหรับตัวเขาเองแล้ว “เมื่อเกิดความคาดหวัง คาดหวังเมื่อไหร่ จะผิดหวัง แต่ถ้าคนเราไม่คาดหวัง มันจะเป็นเซอร์ไพรซ์”<br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com11tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-71544813701692151642007-02-19T00:12:00.000+07:002007-02-19T00:19:35.341+07:00New Diva for Gay Men<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVMpdS0kSAGarFB7eqWllswmT5jQ-UeYUOjF8ikwFSO2afXxbX7-afLorl12EmSEyJfKHLXTZrOnuYQEKaDZG4hvOQHF1PumWgntN_GcPuZRSLiFEAdf0iU49Z7vG3HSKlqAch/s1600-h/dreamgirls2.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVMpdS0kSAGarFB7eqWllswmT5jQ-UeYUOjF8ikwFSO2afXxbX7-afLorl12EmSEyJfKHLXTZrOnuYQEKaDZG4hvOQHF1PumWgntN_GcPuZRSLiFEAdf0iU49Z7vG3HSKlqAch/s320/dreamgirls2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5032923657554904082" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />17-18 Feb 2007<br /><br /><strong>“เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน” นักร้องสาวผิวหมึก หุ่นบึ้ก เสียงหนัก ทรงพลัง ขึ้นแท่นครองใจเหล่าเกย์ไปแล้วเรียบร้อย ชื่อเสียงของเธอโด่งดังข้ามคืนสูสีตีเสมอบียองเซ่ นักร้องสาวผิวหมึกคนสวย ซึ่งร่วมแสดงในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Dreamgirls</strong><br /><br />ไม่รู้ว่า คุณผู้อ่านได้ดูหนังเรื่องนี้หรือยัง? ไม่ใช่หนังยอดเยี่ยมที่ดูแล้วอู้และอ้า ทึ่งจนไม่อยากออกจากโรง แต่นี่แหละภาพยนตร์เต็งหนึ่งในใจมนุษย์สีรุ้งช่วงปลายปีถึงต้นปีนี้ รวมถึงคนที่เข้าใจมนุษย์พันธุ์นี้ทั้งหลาย ใครที่ได้ดูแล้วจะต้องบอกว่า “มันโดนเข้าอย่างจัง” เลยแหละคุณ<br /><br />ชีวิตจริงของเจนนิเฟอร์ กับตัวละครที่เธอสวม “เอฟฟี่” ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ทั้งคู่ ไม่สวย น้ำหนักเกิน และโดนไล่ออกจากทีม<br /><br />ตัวเจนนิเฟอร์เอง เคยเข้าแข่งขันรายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง American Idol ที่จัดขึ้นเป็นปีที่สาม ทั้งๆ ที่เป็นเต็งหนึ่ง ร้องและแสดงได้เยี่ยมยอด แต่ก็ถูกโหวตออกในที่สุด จนเธอเองก็งงเป็นไก่ตาแตกกับความเห็นของคนดูชาวอเมริกัน ส่วนในหนัง เธอรับบทเป็น “นางมารร้าย” ในทีมนักร้องสาวผิวหมึกสามคนที่อิงประวัติของไดอาน่า รอสส์กับวงเดอะซูพรีมยุค ‘60-70 เอฟฟี่โดนเคี๊ยะออกจากทีมเพราะหยิ่งผยอง และไม่ยอมลงให้ใคร อีกส่วนหนึ่งก็เพราะ เธออ้วน และไม่สวย<br /><br />การเป็นแกะดำ แต่ไม่ยอมพ่ายแพ้ และฝ่าฟันจนเอาชนะสถานการณ์อันเลวร้ายนี่แหละที่สะท้อนภาพจับความรู้สึกของเหล่าเกย์ที่ต้องอยู่ภายใต้ความกดดัน ความเข้าใจผิด และพยายามเอาตัวรอดอยู่ทุกวัน ในสายตาคนอื่นๆ <br /><br />ในหนัง ตอนแรกๆ ผู้ชมจะรู้สึกสะใจที่ตัวร้ายทำลาย Dreamgirls อย่างยายเอฟฟี่โดนอับเปหิออกไปซะได้ จุ้นนัก แต่เมื่อเธอล้มลุกคลุกคลาน และพยายามฟื้นกลับคืนสู่สังเวียนเสียงเพลงอีกครั้ง เธอก็ทำได้ เธอยอมรับความผิดพลาด และเริ่มต้นใหม่ จิตวิญญาณการเป็นนักสู้นี่แหละที่เป็นสิ่งน่าชื่นชม และสรรเสริญ ลองคิดดูสิครับท่านผู้อ่าน ท่านทั้งหลายต่อสู้มาหลายนัดแล้วกับอคติทางเพศรอบตัว ล้มไปบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่ก็ยังลุกขึ้นมาได้เสมอ ทำไมเราถึงทำได้?<br /><br />นอกจากตัวหนังจะส่งให้เจนนิเฟอร์ครองใจเหล่าเกย์แล้ว ความจริงตัวเธอเอง ในฐานะนักร้องหน้าใหม่คนหนึ่งที่ยังไม่ได้มีผลงานอัลบั้มเป็นของตัวเอง ก็ได้เข้าไปนั่งในใจเหล่าเกย์มาตั้งนานแล้ว ก่อนจะเข้าแข่ง American Idol เสียอีก เจนนิเฟอร์ร้องเพลงในคลับเกย์มาก่อน ในงานเกย์เดย์ที่จัดโดยดิสนีย์แลนด์ บางทีเธอก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเกย์ถึงโปรดเธอนัก<br /><br />“ผู้หญิงไม่ค่อยชอบฉันหรอก แต่ฉันมักจะได้ยินคนพูดว่า ‘เฮ้ นั่น เจนนิเฟอร์นี่ มากับหนุ่มเกย์เป็นโขยง’ แฟนเกย์จำฉันได้เสมอเวลาฉันออกไปข้างนอก ชอบมากค่ะ แม้จะใส่แว่นกันแดด ใส่หมวก พวกเขาก็จำฉันได้ แต่ถ้าถึงเวลาที่เกิดออกไป เห็นกลุ่มเกย์แล้ว ไม่มีเข้ามาทักกันเลย ฉันจะถามตัวเองว่า เอ๊ะ เป็นอะไรไปกัน ไม่มาทัก ฉันเคยถามบิลล์เหมือนกัน (ผู้กำกับ Dreamgirls –เป็นเกย์อย่างเปิดเผย) ว่า ทำไมฉันถึงมีแต่เพื่อนเป็นเกย์ล่ะ บิลล์ก็บอกว่า เขารู้คำตอบ แต่เขาไม่ยอมบอกฉัน” เจนนิเฟอร์ให้สัมภาษณ์กับ The Advocate ตอนปลายปีที่แล้ว ตอนนั้น มีข่าวพาดหัวตัวโตในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของเมืองดัลลัสว่า เจนนิเฟอร์ ไม่ชอบเกย์<br /><br />ตอนนี้เธอได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มของตัวเองแล้ว และเธอก็สัญญาว่า จะมีเพลงหนึ่งมอบให้แฟนๆ เพลงเกย์ของเธอเป็นพิเศษ<br /><br />มีประโยคหนึ่งที่เธอให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อมะกันถึงเรื่องการเป็นตัวของตัวเอง ด้วยความที่เธอเป็นหญิงอ้วน ตัวใหญ่ เธอกลับรู้สึกดีกับสิ่งที่ภาพลักษณ์ของเธอ<br /><br />“มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณต้องดูเหมือนอะไร แต่ที่สำคัญ คุณรู้สึกยังไงกับตัวเองมากกว่า คุณอาจจะตัวใหญ่โตมโหฬาร แต่ถ้ามันไม่ได้ทำให้คุณหนักใจ ก็ไม่เห็นเป็นไร...ถ้าใครรับไม่ได้ที่คุณตัวใหญ่ หรือสิ่งที่คุณเป็น คุณไม่จำเป็นต้องไปสนใจ หรือไปแคร์กับคนพวกนั้น คุณต้องรู้จักพึงพอใจในตัวเอง ไม่ใช่คอยเอาใจคนอื่น หรือต้องคอยทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ตัวเองไม่มีความสุข” นักร้องสาววัย 25 กล่าว<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> เสาร์ที่ 24 ก.พ. นี้ มีงาน Men Like Us: Rainbow Boys THE MOVIE CELEBRATION (เพื่อขอบคุณแฟนที่รอคอยหนังเรื่องนี้ลงแผ่นวีซีดี มีจำหน่ายแล้วที่ B2S พร้อมพบกับนักแสดงทั้งสาม ได้ที่ ZEN, ชั้น 5, Central World Plaza เวลา 16.00 น. แล้วเจอกันที่นั่น มีสินค้าหนังสือ และเพลงแนวนี้จาก B2S จำหน่ายด้วยในงาน <br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-51191741654125996622007-02-12T02:18:00.000+07:002007-02-12T02:24:03.028+07:00หล่อๆ แสนดี แถวนี้มีมั๊ย (2)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisGPq5r9fNNtewwu62un8Lpa6srEJWG0hqnqbkTePmMfqhRe0NnNfBGA5a2_Hd6WxkJCtXpvy3TCUuxWIVLj9RLW-lZoD3XZszFja2yB7JldfXPGgB-UJPF-EmIC745ktXE08-/s1600-h/pic_part2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5030358411027956722" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisGPq5r9fNNtewwu62un8Lpa6srEJWG0hqnqbkTePmMfqhRe0NnNfBGA5a2_Hd6WxkJCtXpvy3TCUuxWIVLj9RLW-lZoD3XZszFja2yB7JldfXPGgB-UJPF-EmIC745ktXE08-/s320/pic_part2.jpg" border="0" /></a><br />เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 10-11 Feb 2007<br /><br /><strong>ฉบับที่แล้ว ผมกับทีมงานรับประทานแห้วกันไปล่ะครับ หลังจากใช้เวลาตามหานักแสดงในหนังเรื่องใหม่ที่ใกล้จะถ่ายทำกันอยู่รอมร่อ</strong><br /><br />เราไปแวะเซาน่าที่มีผู้ชายหล่อๆ หน้าตาดีๆ หุ่นดีๆ เราได้ชื่อ ได้เบอร์มาแต่ไม่มีซักคนใครกล้าเล่นบทๆ หนึ่ง เป็นบทบาทของตัวละครชื่อ คุณไพบูลย์ ที่มีฉากเลิฟซีน<br /><br />แต่เรายอมแพ้ไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้เสร็จ<br /><br />ผมโทรไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นที่รับรู้ในหมู่เพื่อนฝูงว่า เขาเป็น “นักเที่ยวหนุ่มนวด” ตัวยง<br /><br />คือเพื่อนคนนี้ ขี้เมื่อยน่ะครับ แต่ความจริงแล้ว คนไปเที่ยวสปา บาร์นวดผู้ชายทั้งหลาย “ขี้คัน” ต่างหาก ก็คงเหมือนกับบรรดาคุณผู้ชายที่ชอบไปอาบอบนวด นั่นแหละครับ ชายเกย์ก็ไปบาร์นวด ชายทั่วไป ก็ไปอาบอบนวด<br /><br />วันหนึ่ง พอจัดเวลาได้เหมาะๆ คือหมายถึง ได้ละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อการตามหาคุณไพบูลย์อีกครั้ง เพื่อนผมก็พาผมและผู้ช่วยผู้กำกับไปสปานวดแห่งหนึ่งกลางกทม.<br /><br />สถานที่ใหญ่โตโอ่โถงเชียวแหละ ที่นี่ขึ้นชื่อว่า มีพนักงานให้เลือกมากหน้า มากหุ่น มากแบบ และบริการได้สารพัดแบบ เพื่อนผมรายงานสรรพคุณ แต่ผู้จัดการของร้านบอกได้ถึงใจกว่า<br /><br />“อย่างน้องคนนี้ครับพี่ เป็นผู้ชายนะครับ มีเมียแล้ว แต่ ‘รับ’ ได้ ไม่ใช่รุกอย่างเดียว” เขาบอกอย่างภาคภูมิขณะชี้ไปที่รูปในแค็ตตาล็อกรวมภาพพนักงานนับสิบแต่ในนั้น ก็ยังไม่เจอใครที่เหมาะๆ ซักคน เราสามคน กวาดตามองไปที่กลุ่มพนักงานเกือบยี่สิบคนที่นั่งเล่น นั่งคุยกันอยู่ไม่ไกล<br /><br />บางคนถอดเสื้อ บางคนใส่เสื้อกล้าม บางคนนั่งเฉยๆ บางคนมองไป ก็ส่งยิ้มหวานเย้ายวนมา แต่ผมยังมองไม่เห็น “คุณไพบูลย์” ของผมอยู่ดี เราบอกให้ผู้จัดการร้านลองทาบทามเจ้าของร้านดูก่อนว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะขอพนักงานไปเล่นหนังสักคน สักพัก เขากลับมา<br /><br />“คุยให้แล้ว ขอโทษพี่ๆ ด้วยนะครับ คงไม่สะดวก คือ เจ้าของบอกว่า เด็กนวดที่ผ่านมา หลายคน พอไปถ่ายแบบแฟชั่นมั่ง ไปเล่นหนังมั่ง ก็ไม่กลับมาทำงานอีกเลย คิดว่า ตัวเองเป็นดาราใหญ่ ทางเราก็เสียลูกค้า เด็กก็เสีย เสียเวลา” ผู้จัดการร้านบอก<br /><br />พวกเรามองหน้ากันงงๆ เขาคงเห็นแววตาผิดหวังของเราในนั้นด้วย<br /><br />“เอางี้สิ พี่ไปบาร์อะโกโก้นะ หรือไม่ก็โน่นเลย วัง (สราญรมย์) มีให้เลือกเยอะแยะ ตรงแถววังน่ะ ผมไปรับมาประจำ ต้องไปเร็วๆ หัวค่ำหน่อยนะ จะได้ ‘น้ำแรก’”<br /><br />ฟังแล้วก็อดขำไม่ได้กับภาษาที่เขาใช้ ฟังดูเหมือนหยาดทิพย์มาชโลมใจ แต่พวกเราไม่ได้จะไปคั้นน้ำแรก หรือบีบน้ำสองนี่นา<br /><br />“พี่กลัวว่า พวกเขาจะไม่มีวินัยน่ะสิ เดี๋ยวนัดวันถ่ายแล้ว ก็ไม่โผล่มา งานพังกันหมดพอดี” ผมแย้ง<br /><br />“ก็ให้เงินเขาไว้ก่อน ซื้อใจกันไว้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ คุยกัน” ผู้จัดการกล้ามโต ยิ้มระรื่น หน้าตาทะเล้นต่อไป<br /><br />จริงๆ แล้ว เพื่อนคนนี้ที่ไปเป็นเพื่อนผม มีอีกฉายาหนึ่งนั่นคือ “ขาประจำอะโกโก้”<br />อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกับเพื่อนก็พาตัวเองมานั่งอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งตอนสามทุ่มเศษๆ น้องผู้ช่วยผู้กำกับปลีกตัวไปแล้ว สำหรับผม ตอนนี้ ชักไม่มั่นใจแล้วสิว่า คืนนี้จะอยู่เหนือความควบคุมของผมหรือเปล่า และอะไรจะเกิดขึ้น มานั่งดูโชว์ในบาร์แบบนี้<br /><br />“ดูเอาสิ มีคนไหนเข้าตามั่ง” เพื่อนผมเปิดฉาก ยิ้มย่อง ไม่วาย เขาชี้ไปที่น้องคนหนึ่ง หน้าตาเกลี้ยงเกลามาก เขาบอกว่า เคยพาน้องคนนี้ออกไปครั้งหนึ่งแล้ว<br /><br />ผมกวาดสายตาไปพักหนึ่ง เห็นน้องหน้าใส เฮ้อ เด็กไป แต่แล้ว ตรงแถวหลัง ผมก็สะดุดกับหนุ่มผมหยักศก เขาสูงประมาณ 178 สังเกตดูใบหน้าแล้วจากระยะไกลๆ เขาน่าจะเกิน 25 ปี ยิ่งเทียบกับน้องอะโกโก้สองแถวหน้า หนุ่มผมลอน กินขาดด้านอายุ ต้องไม่ใช่เด็กๆ แน่ชัวร์ นั่นน่ะ ต้องเป็นคุณไพบูลย์ของผม<br /><br />เราบอกหมายเลขกัปตัน และให้เรียกน้องคนนั้นมานั่งคุย ปกติ แขกจะถามกัปตันก่อนว่า คนที่จะเลือกเป็นยังไง รับ หรือ รุก หรือทำอะไรได้มั่ง ราวๆ นั้น เพื่อนผมบอก แต่ผมไม่ได้จะอ็อฟเขาไปมีอะไรนี่ ผมจะค้นหาเองว่า เขาเป็นคนยังไง<br /><br />ผมกะเอาไว้ว่า จะสัมภาษณ์คร่าวๆ ไม่ให้เขารู้ตัวเสียก่อน หากเขาเป็นคนพูดเสียงเหน่อ เพราะเป็นคนท้องถิ่นต่างจังหวัด หรือพูดไม่ชัด เพราะอาจเป็นเด็กดอย “กินแค-เหลาะ” ซึ่งเดี๋ยวนี้ ลงดอยมา กทม.กันเยอะมาก เป็นอย่างนี้ทั้งหมด ผมขอบาย เพราะไม่ตรงคาแรคเตอร์ที่วางไว้<br /><br />“ผมชื่อ โอ ครับ” น้องโอ ตัวสูงใหญ่ไหว้เราสองคน แล้วเราก็จัดที่ให้เขานั่งตรงกลางระหว่างผมกับเพื่อน เขายิ้มสวยมากๆ ถึงมากที่สุด<br /><br />หลังจากบอกชื่อเสียงเรียงนามของเราสองคน ผมก็อยากรู้ขึ้นมาทันที “ขอโทษครับ น้องโอ...พี่ถามนิดหนึ่ง บอกได้เปล่าว่า..อายุเท่าไหร่” ผมถามออกไปโต้งๆ ทั้งๆ ที่คิดไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ไก่ตื่น<br /><br />เขาส่ายหน้า ยิ้มอายๆ ไม่ยอมบอก ไม่รู้สิครับคุณผู้อ่าน เวลาผมเจอผู้ชายยิ้มอายๆ ทีไร มันใจสั่นซะทุกที<br /><br />แม้เขาจะปฏิเสธที่จะบอกอายุ แต่จากการคะเนของผมกับเพื่อน และดูบริเวณหางตายามเขาแย้มยิ้ม มันเริ่มมีรอยเท้ากาลางๆ มาประทับบ้างแล้วล่ะ ผมว่า น้องโอ ต้องอายุ 27 หรือ 28 แน่นอน ตรงกับสเปคคุณไพบูลย์ ถ้าเขาสวมแว่นสักเล็กน้อย เขาจะหล่อยิ่งขึ้นไปอีก ผมมองเห็นไรขนรอดจากเสื้อกล้ามบนหน้าอกขอเขา เซ็กซี่ไม่เบา ถ้าถอดออกมาดู<br /><br />ความคิดผมเริ่มสับสนว่า ผมจะชวนเขายังไงดี หรือเพื่อการทำงานที่สมบูรณ์แบบ ผมควรจะพาเขาออกไปเลยซะตอนนี้ เปิดห้อง ขึ้นเตียง แล้วก็ดูซิว่า เขามีลีลา บทบาทเป็นไงมั่ง ก่อนที่จะเฉลยกับเขาว่า ผมกำลังมองหานักแสดงอยู่<br /><br />เพื่อนตัวดียืนยันว่า มันเป็นความคิดที่วิเศษมาก โดยบอกว่า หลังจากที่ผมมีอะไรกับเขาแล้ว เขาคงไม่ประหม่าแบบนี้ไง?<br /><br /><strong>ผมว่า ชักจะไปกันใหญ่แล้วล่ะ</strong><br /><br />เราสองคนสลับกันถามคำถามเขาอีกสองสามคำถาม เพื่อจะค้นหาความสนใจของเขา แต่ดูเหมือนนายโอเริ่มแสดงความอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ถึงช่วงเวลาบนเวทีที่เด็กอะโกโก้ทุกคนต้องไปยืนเต้นพร้อมกันเพื่อเปิดรายการโชว์ที่จะตามมา โอขอตัวไปขึ้นเวที แต่พอรายการโชว์นั้นจบ เรารออยู่นาน น้องโอคนยิ้มสวยก็ไม่กลับมานั่งหน้าหล่อที่เดิมอีกเลย หนุ่มในฝันของผมหายตัวไปไร้ร่องรอยซะแล้ว! หรือเขาโดน “อ็อฟ” ไปไม่ทันสังเกต? ผมชักรู้สึกอยากโทษตัวเองขึ้นมา ถ้าเมื่อกี้ ก่อนที่เขาจะไปขึ้นเวที ผมบอกว่า จะ “พา” เขาออกไป เขาคงไม่หายตัวไปมั้ง<br /><br />ผมกับเพื่อนนั่งเซ็งอยู่พักใหญ่ พลางทบทวนดูว่า เราสองคนทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? ผมรุกหนักเกินไป? เลยทำให้โอไม่สบายใจ? ความจริง ผมตัดสินใจแล้วว่า จะพาเขาออกไปนั่งคุย ให้เงินเขาค่าเสียเวลาที่ออกมาคุย แต่ผมจะรู้ได้ไงว่า ถ้านัดมาเทสต์หน้ากล้องแล้วเขาจะมา?<br /><br /><strong>งานนี้ไม่หมูอย่างที่คิดอีกแล้ว</strong><br /><br />ตรงที่นั่งถัดจากเราไปไม่ไกลนัก เงาคุ้นๆ ปรากฏขึ้น ผมมองเห็นโอ....อยู่ตรงนั้น เขากำลังตกลงอะไรบางอย่างกับลูกค้าอีกคน สักพักลูกค้าคนนั้น ก็เดินมายืมเงินกับเพื่อนที่นั่งแยกอยู่อีกที่หนึ่ง แล้วเดินกลับไปที่เดิม<br /><br />ผมมองหน้าเพื่อนงงๆ<br /><br />“เป็นไงล่ะ!” เพื่อนตัวดีพูดขึ้นทันที “ไม่รีบตัดสินใจ โดนปาดหน้าเค้กเลย”<br /><br />โธ่ โอ.... ผมบอกตัวเอง....เราคงไม่ได้ร่วม...งานกัน<br /><br />ผมกลับมาบ้าน แล้วก็นึกว่า พรุ่งนี้จะบอกน้องผู้ช่วยผู้กำกับยังไงดี เรามีเวลาอีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันนัดซ้อมบทกันแล้ว หรือจะยืดเดดไลน์ไปก่อน ผมว่า มันคงเป็นทางออกที่ง่ายเกินไป ผมมานึกๆ ดู เด็กนวด ถ้าได้คงจะดี ถ้าเจ้าของร้านสนับสนุน เด็กอ็อฟ ถ้าผมโชคดี คงเจอคนตั้งใจ ซึ่งไม่มีอะไรการันตีเลย สุดท้าย ผมมาเปิดอีเมล....<br /><br /><strong>ปล.</strong> ตอนปิดต้นฉบับนี้พอดี ผมได้พบ “คุณไพบูลย์” แล้วล่ะครับ คุณผู้อ่านไม่ต้องเป็นห่วง เขาส่งอีเมลมาในวันหนึ่ง เขาไม่หล่อเท่านายโอ แต่รูปร่างโอเค ที่สำคัญ หลังจากได้คุยกันแล้ว เขาแสนดีกับผม<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> ปล่อยให้แฟนๆ รอ...วีซีดีภาพยนตร์เรื่อง “เรนโบว์บอยส์ เดอะมูฟวี่” ออกแล้วครับ Exclusive ที่ร้าน B2S เท่านั้น โดยส่วนตัว ขอกราบขอบพระคุณแฟนๆ ที่เป็นห่วงเป็นใย และถามไถ่ตลอดมา<br /><br />-end-<br /><div></div><div>All rights reserved.</div>Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1170572832686833552007-02-04T14:03:00.000+07:002007-02-04T14:07:13.086+07:00หล่อๆ แสนดี แถวนี้มีมั๊ย (1)<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/718000/pic_part1.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/205483/pic_part1.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 3-4 Feb 2007<br /><br /><strong>การตามหาผู้ชายสักคนยังไม่สิ้นสุด มันเป็นการเดินทางตามหาสองอาทิตย์ที่ดูยาวนานเหมือนสองเดือน แต่ก็คงไม่เหมือนใครหลายๆ คน...ที่ยังคงเฝ้าตามหาใครสักคนที่ใช่</strong><br /><br />เวลาที่ผ่านไปช้าๆ ผมได้แต่เฝ้าภาวนา วอนสวรรค์เมตตา ส่งคนที่ดูโอเค หุ่นดี นิสัยดี มีวินัย ใจกว้าง และเล่นหนังได้...สักคนเถอะครับ<br /><br />ผมขอมากไปมั๊ยเนี่ย? <br /><br />คุณผู้อ่านครับ เกือบแล้วเชียว คนล่าสุดน่ะ เขาเหมาะสมแทบทุกอย่าง แล้วเขาก็เปลี่ยนใจในที่สุด พอรู้ว่ามีบางฉากต้องแสดงด้วย<br /><br />...จูบกับผู้ชายเนี่ย...มันยากนักรึไง?<br /><br />ผมไม่โทษทีมงานหรอกครับที่ยังหาคนมารับบทนี้ไม่ได้ เราต้องช่วยกัน แค่นักแสดงอีกคน อีกคนเดียว และอีกนิดเดียว ใช่สิ หึๆ อีกนิดเดียว เราก็จะเลยเดดไลน์กันอยู่แล้ว <br /><br />ผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในเมโทรไลฟ์ฉบับก่อนหน้าตอนกลางๆ เดือนมกราคมว่า ผมกำลังมองหาผู้สนใจจำนวนมากมาร่วมงานในหนังเรื่องใหม่อยู่ ผมรู้สึกดีนะครับที่ประกาศขอความช่วยเหลือจากท่านผู้อ่าน ผมรู้สึกมีกองหนุนตลอดเวลาทำอะไร และส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าสิ่งได้มาและนำมาเขียนจะทำให้ผู้อ่าน อ่านแล้วสนุก และอีกส่วนหนึ่ง ผมก็จะได้รู้สึกสมเพชตัวเองไปในตัว <br /><br />หนังใหม่เรื่องนี้ใช้ตัวละครเปลือง เปลืองมาก พอผมประกาศไป ผมก็ได้รับความเมตตาจากหลายๆ ท่านที่ส่งรูปถ่าย ส่งอีเมลมาแนะนำตัวกันมากมาย ทั้งมาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีทั้งรูปเต็มตัว รูปครึ่งตัว รูปใส่เสื้อ รูปถอดเสื้อ และกระทั่งรูปไม่ใส่อะไรเลย ขอบคุณมากนะครับ <br /><br />แต่ในจำนวนมากมายนั้น ผมก็ยังไม่พบ “คุณไพบูลย์” อยู่ดี<br /><br />คุณไพบูลย์ คือตัวละครสำคัญตัวหนึ่งของหนังคอมดี้เรื่องนี้ เขาเป็นเจ้าของสถานบริการแห่งหนึ่ง อายุยี่สิบปลายๆ หรือสามสิบต้นๆ ไม่ได้หล่อมาก แต่ดูดี หุ่นดี แข็งแรง เพราะเขาต้องรับบท “ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้จักดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง”<br /><br />ถ้านั่งรออีเมลไปเรื่อยๆ คงใช่ที่ การเดินทางตามหาอีกครั้งจึงเริ่มต้นขึ้น สามทุ่มกว่าๆ ของวันหนึ่ง... <br /><br />ผู้ช่วยผู้กำกับ น้องรักตัวเล็ก และผม เราเข้าไปอยู่ในเซาน่าแห่งหนึ่ง ตอนแรกๆ ผมนึกภาพไม่ออกว่า เราจะจัดการงานตรงนี้ยังไง จะตั้งโต๊ะ แล้วรับสมัคร มันจะดูตลกไปหรือเปล่ากับสถานที่นั้น? หรือไม่คนที่ผ่านไปผ่านมาในที่นั้น อาจเข้าใจว่า เรามาจากบริษัทมือถือ มาตั้งโต๊ะแจกซิม กันถึงในเซาน่า? <br /><br />เราไม่ตั้งโต๊ะ แต่นั่งรอ ‘เป้าหมาย’ อย่างระทึกตรงมุมบันไดขึ้นลง แอร์เย็นๆ ทำให้ผมหนาวสั่นเป็นระยะ เพราะไอและจามมาหลายวันแล้ว แต่พอได้เห็นคนหล่อๆ หุ่นดีๆ ผมก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา ตอนนี้เสียงไอแค็กๆ กลายเป็นเสียงเรียกร้องความสนใจแทน แทบหายหนาวไปเลยล่ะครับ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่า รวมพลคนหุ่นเฟิร์ม ผมมั่นใจว่า คืนนี้ลุ้นแน่ๆ ผมจะต้องได้เจอคุณไพบูลย์ <br /><br />แรกๆ ก็ทำตัวไม่ถูกล่ะครับว่าจะจีบพวกเขายังไง อยู่ๆ ผมก็นึกถึงคนที่ทำหน้าที่แมวมองขึ้นมา พวกเขาทำตัวยังไงนะ? เขาต้องพูดจายังไงนะเพื่อจะได้คนในแบบที่ต้องการ? พูดแล้วคนสนใจ และอีกหลายๆ คำถาม แต่เอาเถอะ อย่างน้อย ในนี้ ผมก็ไม่ต้องคิดว่า พวกเขาต้องแต่งตัวยังไง เพราะในเซาน่าส่วนใหญ่ แขกจะนุ่งกุงเกงลิงตัวเดียว หรือไม่ก็นุ่งผ้าขนหนูหนึ่งผืนเท่านั้น<br /><br />ผมไม่ได้นุ่งทั้งสองอย่าง ผมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามออกกำลังกาย รองเท้าฟิตเนส เพราะในเซาน่ามีห้องออกกำลังกาย คงถูไถกลมกลืนได้ ถ้าผมใส่ผ้าขนหนู ผมคงไม่อยากทำงาน แต่อยากทำอย่างอื่น ส่วนน้องผู้ช่วยผู้กำกับ ผมเตรียมชุดมาให้เขาเอง เราเลยแต่งตัวเหมือนกันราวฝาแฝด น้องรักตัวเล็กคนนั้นเล่า สบายมาก เขาเป็นแขกประจำที่นี่อยู่แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในชุดผ้าขนหนู<br /><br />หลังจากขออนุญาตเจ้าหน้าที่แล้ว เราก็ไม่รีรอ พอเห็นว่า คนไหนเข้าข่าย ผมก็จะส่งน้องผ้าขนหนูผู้มีหุ่นฟิตเปรี๊ยะเข้าไปปะกบทันที เราบอกเป้าหมายว่า เราอยากได้นักแสดงหน้าใหม่ กล้าเล่น กล้าเป็นตัวของตัวเอง เราจะขอชื่อ และเบอร์โทร จดไว้ในสมุด ที่นี่เขาก็มี ‘ธุระ’ กันทั้งนั้นน่ะครับ คงไม่มีใครอยากมาเสวนากับพวกเรายาวนาน จะเสียเวลาโปรยเสน่ห์ของพวกเขา<br /><br />ตอนที่นั่งเหล่คนอยู่ในนั้น บอกตามตรงล่ะครับ เพลินดีมาก ผู้คนพลุกพล่าน เรามองไป เขาก็มองมา แบบงงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยิ้มให้ด้วยไมตรี สักพัก มีหนุ่มขาวตี๋ รูปร่างท้วมคนหนึ่งโผล่มา ดูเขาเฟร็นด์ลี่ดี เขาคงสงสัยว่า เรามาทำอะไรกัน หนุ่มหน้าใสเยี่ยมหน้ามามองสมุดโน้ตที่ผมกำลังจดบันทึกบรรยายหน้าตา รูปร่าง และเรื่องประทับใจเกี่ยวกับคนที่เราเพิ่งได้ชื่อและเบอร์โทรมา <br /><br />เขาคนนั้นค่อยๆ นั่งลงมาเงียบๆ เนียนๆ ใกล้ๆ ผม ผมชักสงสัยว่า เขาอยากจะสมัครหรือเปล่า เลยชวนคุยเรื่อยเปื่อย เขาถามโน่น ถามนี่ว่า เรามาทำอะไรกัน น้องสองคนที่มากับผมและนั่งถัดไปอีกฟากก็เริ่มงงว่า เราคุยอะไรกัน จนคนหนึ่ง คงทนไม่ไหว ถามขึ้นมาว่า มีอะไรหรือเปล่าครับ?<br /><br />แขกแปลกหน้าคนนั้นยิ้มๆ แล้วชี้มาทางผม บอกว่า “อยากจะรู้ว่า...คนนี้...มีแฟนรึยัง” <br /><br />หา? ...ผมหัวเราะแก้เก้อ เอ่อ....ผมรู้สึกขอบคุณมากนะครับ.....ไม่นึก...ไม่ฝันเลยว่า ในนี้ ตัวเองจะขายได้...<br /><br />คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า เวลาสองชั่วโมงเศษ เราได้ชื่อและเบอร์โทรศัพท์มาเกือบสิบห้าคน ดูเหมือนจะเยอะ แต่ความจริงไม่เลย เพราะในจำนวนนี้ เราต้องไป ‘กล่อม’ พวกเขาให้เขามาเทสต์หน้ากล้อง และลองอ่านบทอีก แต่ผมก็มั่นใจว่า ในลิสต์รายชื่อนี้ น่าจะมี ‘คุณไพบูลย์’ ซักคนสิ <br /><br />เราแยกย้ายกันตอนเวลาเกือบเที่ยงคืน ง่วงกันมากแล้ว<br /><br />วันรุ่งขึ้น ตอนเย็นๆ ผมได้รับโทรศัพท์และเสียงกระตือรือร้นจากทีมงาน<br /><br />“พี่ครับ โทรตามทุกคน คุยแล้ว ไม่มีใครกล้าเล่นบทนี้เลย” <br /><br />ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของตัวเองอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้สำหรับตัวละครตัวนี้ <br /><br />นี่ตูจะโทษสวรรค์หรือบทจูบดี?<br /><br />อีกอาทิตย์หนึ่งผ่านไป เราก็ยังไม่ได้ ‘คุณไพบูลย์’ ผมเริ่มรู้สึกร้อนรนมากยิ่งขึ้น และรู้สึกว่า พวกเราคงยังไม่ได้ทำอะไรถึงที่สุด<br /><br />ผมจำได้ว่า หนังเรื่อง “เพลงสุดท้าย” ทีมงานค้นหานักแสดงไปเจอ “น้องแอม” ที่กลายมาเป็นนางเอกคนสวยของเรื่องจากริมถนน และใกล้ถึงเวลาเปิดกล้องแล้ว คือ ตอนนั้น น้องแอมเดินออกมาจากร้านๆ หนึ่งที่เสียงดัง แล้วมายืนริมถนนเพื่อจะคุยโทรศัพท์ แมวมองขับรถผ่านไปปร๊าดพอดี เปิดกระจก แล้วชักชวนไปพบผู้กำกับเลยในวันรุ่งขึ้น <br /><br />หนังเรื่องที่แล้ว เราก็เริ่มถ่ายทำไปแล้วหนึ่งหรือสองวัน เราถึงได้ตัวละครสำคัญมาหนึ่งตัวจนครบ คุณผู้อ่านคงมีความเชื่อเหมือนผม ถ้าคนเราตั้งใจทำอะไรจริงๆ จังๆ มันต้องสำเร็จสิน่า <br /><br />แค่อีกตัวเดียวเอง เราก็จะปิดจ๊อบได้ <br /><br />ผมรู้สึกฮึดขึ้นมาอีกหน ใช่สิ! เราต้องค้นหาต่อไป เรายังไม่ได้ทำอะไรสุดๆ เลยนะ <br /><br />(ฉบับหน้า จากเซาน่า ไปบาร์นวด และบาร์อื่นๆ อีก การตามหาจะสิ้นสุดลงหรือไม่? ใครจะมาเป็น คุณไพบูลย์ ของผม?)<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> Dreamgirls เข้าแล้วอาทิตย์หน้านี้ ไปชมกัน ดูซิว่า ผู้กำกับ-ผู้เขียนบทคนดัง Bill Condon (God & Monster, Kinsey) จะนำละครเพลงบรอดเวย์มาลงแผ่นฟิล์มอย่างไร/ 8 มีนาคม เตรียมไปดู Go Go G-Boys หนังที่สร้างความฮือฮาให้กับเต๊ะ ศตวรรษ จากไต้หวัน สู่ไทย ที่ House Rama <br /><br />-end- <br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1169974151610871892007-01-28T15:37:00.000+07:002007-01-29T21:20:16.850+07:00สิ่งดีๆ...ที่เราจะมีให้กันตลอดไป<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/909309/23.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/412731/23.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />27-28 Jan 2007<br /><br /><strong>ที่จริง...เรื่องนี้น่าจะไปลงฉบับวันวาเลนไทน์...แต่เอาเถอะครับท่านผู้อ่านที่รัก ถ้าเกิดทำให้ผู้แสวงหาความรักทั้งหลายได้อิ่มเอมใจ ผมก็ขอยกประโยชน์ทั้งหมดนี้ให้กับเจ้าของเรื่องซึ่งเป็นผู้แสวงหารักอีกคนหนึ่ง</strong> <br /><br />และหวังใจว่า เขาคงจะสุขใจยิ่งขึ้น หากได้รับรู้ว่า มีผู้คนมากมายที่กำลังส่งยิ้มและเป็นกำลังใจให้กับเขา<br /> <br />เจ็ดปีที่แล้ว...อินเทอร์เน็ตพาให้ “คุณบอย” กับ “น้องเอ” มาพบกันโดยบังเอิญ <br /><br />มิตรภาพเล็กๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ คุณบอยทำธุรกิจอยู่เมืองไทย ส่วนน้องเอเรียนอยู่ต่างประเทศ ทั้งคู่อายุห่างกันราว 5-6 ปี ทางบ้านมีฐานะทั้งคู่ <br /><br />ระหว่างที่คุยกันทางเน็ตนั้น บอยยังไม่ได้รู้สึกว่า คนที่คุยด้วยน่าจะได้กลายมาเป็นแฟน อาจเป็นเพราะระยะทาง และข้อมูลต่างๆ ที่เขามักจะได้รับอยู่เสมอ<br /><br />“บางที ก็ได้ข่าวว่า เขามีแฟน บางทีก็ได้ข่าวว่า เขาเลิกกับแฟน” บอยเล่า เขาบอกต่ออีกด้วยว่า สิ่งที่ทำให้เขายังคุยกับเอเรื่อยมาก็คือ <br /><br />“ผมชอบที่เขาเป็นคนมีความคิดดี อย่างเวลาจะตัดสินใจอะไร เขาจะลำดับความคิดได้ดี หากตัดสินใจไม่ได้ ก็จะถามเรา” <br /><br />น้องเอ กลับเมืองไทยปีละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น พอสองเดือนผ่านไปหลังจากได้คุยกันทางเน็ต ก็ถึงเวลาพอดีที่เขาจะกลับมาเยี่ยมบ้าน น้องเอยืนยันว่า คงถึงเวลาเช่นกันที่จะได้เจอหน้าคนที่คุยกันมาตั้งนานเสียที สำหรับบอย แม้ธุรกิจการงานจะยุ่งเหยิง เขาก็ไม่ปฏิเสธตัวเอง คงถึงเวลาแล้วนะ<br /><br />ตอนที่ได้เจอหน้ากัน ทั้งสองก็ยังคงมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยู่ แต่คงเป็นเพราะหนทางชีวิตและเวลาน้อยนิดที่มี ในแต่ละครั้งที่เอกลับมาบ้าน บอยจะพบได้พบกับเอแค่หนึ่งหรือสองครั้ง จนเวลาผ่านไปสามปี มิตรภาพดีๆ ก็ยังเป็นไปด้วยดี และมีแนวโน้มว่าน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ<br /><br />“เขาจะจำได้หมดเลยครับ รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา อย่างเวลาไม่สบาย ปวดหัว เขาก็จะสังเกต จำได้ เขาจะบอกว่า เราเป็นอย่างนี้มา 5-6 ครั้งในปีนี้แล้วนะ เขาใส่ใจตลอด หรืออย่างเวลาที่ผมบอกเขาว่า จะไปเที่ยวต่างจังหวัด ด้วยความที่เขาชอบเที่ยวเมืองไทยอยู่แล้ว เขาจะจัดการโทรศัพท์จองโรงแรม จองที่พัก เป็นธุระให้หมด ทั้งๆ ที่เขาอยู่ต่างประเทศ พอตอนเราไม่สบาย เขาก็จะซื้อวิตามินส่งมาให้ ทั้งๆ ที่ในประเทศ เราก็หาซื้อได้ เพื่อนๆ เลยบอกว่า<br /><blockquote>‘ดีขนาดนี้ ทำไมไม่เป็นแฟนกันนะ’”</blockquote><br />อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้บอยรู้สึกประทับใจไม่ลืมก็ตอนช่วงวันเกิดของเขานั่นเอง <br /><br />ปกติเอจะส่งของขวัญให้เขาอยู่แล้ว ในปีนั้น บอยก็เกิดมีความคิดว่า น่าจะซื้ออะไรบางอย่างให้น้องเอด้วยเหมือนกัน <br /><br />เขาจัดการควานหาสิ่งของนั้น ขนาดสั่งมาจากต่างประเทศ เอามาห่อที่เมืองไทย แล้วส่งทางไปรษณีย์ไปให้เอ แต่ในช่วงนั้นเอง พี่สาวของเอ ได้ไปเยี่ยมน้องชาย เลยนำของขวัญวันเกิดที่เอจัดการเตรียมไว้ก่อนหน้า ติดมือกลับเมืองไทย ฝากให้บอยด้วย<br /><br />บอยไม่คิดเลยว่า จะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่สองคนก็ไม่คุยกันเรื่องของที่อยากได้มาก่อน <br /><br />“ตอนเปิดออกมาแล้วเห็น เท่านั้นแหละ เราก็หัวเราะ ขำดีครับ”<br /><br />มันเป็นของชิ้นเดียวกัน<br /><br />บอยเล่าต่ออีกว่า เขาได้รับของขวัญที่เอฝากมาทางพี่สาวก่อนหน้าที่ของขวัญของเขาที่ฝากทางไปรษณีย์จะไปถึงมือเอ <br /><br />ทางฝ่ายเอ...พอเปิดกล่องของขวัญ เอตกใจแล้วโทรมาถามบอยทันทีว่า<br /><br />“ไม่ชอบของขวัญที่ส่งให้เหรอ ถึงส่งกลับมา”<br /><br />คุณผู้อ่านว่า เขาสองคนน่าจะได้เป็นแฟนกันมั๊ย?<br /><br />ต่อมา บอยตัดสินใจที่จะค้นหาความรู้สึกที่แท้จริง ตัวเขาเองเริ่มพบแล้วว่า มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเอมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่า ตัวเขาทั้งคู่มีอะไรเหมือนๆ กันหลายๆ อย่าง คราวนี้แหละ ที่เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่า เขาเป็นแค่พี่ชายหรือสามารถเป็นได้มากกว่านั้น<br /><br />เขาเลยบอกความรู้สึกล้ำลึกนั้นออกไป เมื่อสามปีที่แล้ว <br /><br />คำตอบที่เขาได้รับก็คือ “น้องบอกว่า เขาไม่ได้คิดว่า เราจะเป็นแฟนกัน ผมเลยบอกขอโทษเขาไปที่ทำให้เขาลำบากใจ และผมจะไม่ทำให้เขาลำบากใจอีก”<br /><br />บอยยืนยันเช่นนั้น เพราะเขาคิดว่า หากคนที่เขารักต้องการเช่นนั้น เขาก็อยากจะให้เขามีความสุขเช่นนั้น หากแม้เขาคนนั้นจะอยู่กับคนอื่นก็ตาม <br /><br />“เราก็พร้อมจะยินดีด้วย” เขายืนยัน <br /><br />ในตอนสัมภาษณ์บอย ผมถามเขาอีกครั้งว่า สิ่งที่เขาพูดนั้น เขารู้สึกและทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ? เพราะบางคนก็เพียงแต่พูดบอกออกไปเหมือนปลอบใจตัวเองมากกว่า แต่ในใจลึกๆ ก็ยังคงรู้สึกเศร้า และเสียดายอะไรบางอย่างอยู่<br /><br />บอยตอบ เขารู้สึกอย่างนั้นอย่างแท้จริง รู้สึกยินดี ถ้าคนที่เขารักมีความสุข แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนข้างๆ เขาคนนั้นก็ตาม<br /><br />เวลาผ่านไปสักพัก ช่วงหนึ่ง ทั้งสองแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย จนกระทั่งมีบางสิ่งที่ทำให้ชีวิตทั้งสองต้องมาพบกัน...อีกครั้ง<br /><br />“ตอนนั้น มีเหตุ หลวงพ่อที่ผมเคารพมาพอดี ผมจำได้ว่า เขาเคยอยากกราบหลวงพ่อเหมือนกัน พอดีน้องเขาอยู่เมืองไทย ผมก็คิดว่า จะไม่บอกเขา ก็คิดอยู่นาน แต่แล้วก็โทรไปบอกว่า ถ้าว่างๆ ก็ไปกราบท่านนะ <br /><br />ผมไม่ได้คิดจะชวนเขาไปด้วยกันนะครับ แต่เขาก็บอกว่า ขอไปด้วยคน ผมก็เลยไปกับเขา ปรากฏว่า หลวงพ่อบอกให้เราสองคนสร้างพระด้วยกันสององค์ เลยทำให้ผมกับเขาต้องเจอกันบ่อยๆ เพราะมีธุระต้องทำด้วยกัน”<br /><br />ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับครอบครัวเอแล้ว บอยเสมือนคนๆ หนึ่งที่ทั้งพ่อและแม่ของเอไว้วางใจอย่างที่สุด และดูเหมือนจะคอยเชียร์อยู่ห่างๆ <br /><br />คุณผู้อ่านอ่านถึงตรงนี้แล้ว คงถามว่า ครอบครัวเอ รู้หรือเปล่าว่า ลูกชายเป็นชายรักชาย ตรงนี้บอยยืนยันครับว่า รับรู้และคุณแม่ยังเคยบอกว่า รู้สึกดีที่ลูกชายพบคนดีๆ และข้อมูลน่าสนใจอีกอย่างก็คือ ที่บ้านนี้ นอกจากลูกสาวแล้ว เอ...เป็นลูกชายคนเดียว<br /><br />ปลายปีที่แล้ว บอยเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างที่พิเศษ คงเป็นความรู้สึกประทับใจไม่รู้ลืมสำหรับเขา หลังจากได้ใช้เวลาไปๆ มาๆ กับน้องเอและครอบครัวในการเดินทางไปเที่ยวทริปต่างประเทศที่ผ่านมา พอใกล้ปีใหม่ เขาไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่น้องเอที่บ้าน พ่อแม่เขาก็ชวนไปทำบุญด้วยกัน แถมเขายังมีโอกาสได้เล่นเปียโนให้ที่บ้านฟังอีก <br /><br />“พ่อของเขาก็มาร้องเพลงด้วย ผมมารู้ทีหลังจากที่บ้านเขาว่า พ่อแม่เขาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ที่บ้านเขา ผมก็เพิ่งสังเกตว่า นอกจากรูปครอบครัวเขาแล้ว ตรงที่วางรูป ก็มีรูปของผมอยู่ในนั้น” <br /><br />สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคงทำให้เขามั่นใจอะไรบางอย่าง เขาอยากจะลองอีกสักครั้ง เพื่อให้รู้แน่ๆ ไปเลยว่า เราสองคนจะเป็นยังไงกันต่อไป <br /><br />คงถึงเวลานั้นแล้วมั้ง...เขาคิด<br /><br />ในเวลาสองวัน เขาใช้เวลาวันละเกือบสี่ชั่วโมงในแต่ละวัน ก่อนจะตัดสินใจซื้อแหวนวงหนึ่ง (ราคาล้านเศษ) เพื่อจะมอบให้เอ สำหรับบอยแล้ว แหวนคือสิ่งพิเศษที่มีความหาย มันคือคำตอบ มันคือความรู้สึกดีๆ ที่เขากำลังจะบอก และถ้าน้องรับแหวนวงนี้ เขาคงได้รับคำตอบเสียที<br /><br />บอยเล่าว่า วันนั้น น้องเอชวนเขาไปดูละคร ในช่วงปีใหม่ <br /><br />“เราก็เตรียมของของเราไป ไปถึง ก็เจอ...เขาพาเพื่อนมาด้วย เขาไม่เคยบอกมาก่อนว่า เขาคบกับใครอยู่ แต่ปรากฏว่า ตัวผมเองก็ดูละครไปด้วยความสนุกและสบายใจ เพราะผมก็รู้แล้วว่า เราน่าจะยืนอยู่ตรงไหน”<br /><br />หลังดูละคอนจบ ทั้งสามคนก็นั่งทานข้าวด้วยกัน บอยเล่าว่า เขารู้สึกคุยถูกคอกับเพื่อนชายของน้องเอมาก และในเวลานั้น กลับเป็นหนุ่มคนนั้นเองที่เอ่ยถามเอขึ้นมาว่า ทำไมวันนี้ ถึงดูเงียบจังล่ะ? ทั้งที่ปกติเป็นคนชอบพูดคุย<br /><br />สำหรับบอยแล้ว เขายืนยันอีกครั้งว่า เขารู้สึกดีที่ได้รับรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหน้า แล้วแหวนวงนั้นล่ะ?<br /><br />“ผมก็เก็บแหวนวงนั้นไว้ล่ะครับ ผมก็ไม่เคยได้บอกให้เขารู้อีกเลย (อีกอย่าง)ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะเปรียบเทียบตัวผมกับแฟนของเขา สำหรับผมแล้ว ถ้าเรามีความสุขกับตัวเอง เราก็จะสะสมความสุขนั้นไว้ แล้วสักวันผมก็จะมอบความสุขนั้นให้กับคนอื่นๆ ที่เราจะรู้สึกดีๆ ต่อไป”<br /><br /><strong>หมายเหตุ </strong>สัมภาษณ์จากรายการวิทยุ ฮอตไลน์สายสีรุ้ง บันทึกเทปเมื่อวันที่ 18 ม.ค. คุณบอยไม่ได้ต้องการเล่าเรื่องนี้เอง แต่ได้รับการขอร้องจากเพื่อนคนหนึ่งให้เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังกัน<br /><br />-end-<br /> <br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com18tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1169391136755988242007-01-21T21:45:00.000+07:002007-01-21T22:08:40.926+07:00ห้าสาววีนัสจากดาวอังคาร<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/622939/venus.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/943864/venus.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />20-21 Jan 2007<br /><br /><strong>ใครเลยจะเคยคิดว่า จะมีค่ายเพลงในเมืองไทยคัดสาวประเภทสองมารวมกันตั้งห้าคนแล้วออกอัลบั้ม?</strong> <br /><br />เมื่อปลายปีที่แล้ว “Venus Flytrap” (อ่านออกเสียงว่า -แทร็ป ไม่ใช่ -แทร๊ป) หรือวง “Lady Boy Band” วงแรกของเมืองไทยจากโซนี่ บีเอ็มจี นำอัลบั้ม “Visa for love” มาทดสอบตลาดเพลงบ้านเราด้วยความมั่นใจ ก่อนหน้านี้ทางค่ายนำพวกเธอตระเวนออกรายการทีวี แสดงและโชว์ตัวตามผับ พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์สื่ออย่างขยันขันแข็ง เรียกว่าปูพรมมาตลอด<br /><br />สำหรับผมคิดว่า น่าจะโปรโมทมากขึ้นไปอีก เพราะหลังจากได้สัมภาษณ์พวกเธอทั้งห้าคนเมื่อเร็วๆ แล้ว ก็พบว่า ไม่ธรรมดาเลย ทั้งการพูดคุย วิธีคิด อารมณ์ขัน ความเป็นมาของแต่ละคน โดยเฉพาะความสามารถในการร้องเพลงสดๆ ติดอยู่อย่างเดียว ผมไม่ได้ให้พวกเธอเต้นสดๆ ให้ดู <br /><br />สังคมไทยรู้จักสาวประเภทสองมานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่รู้จักในฐานะอื่นๆ และจากอาชีพซ้ำๆ ที่มักเห็นกันอยู่แล้ว <br /><br />ในภาพลักษณ์การเป็นนักร้องที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ผู้คนก็ย่อมสงสัยบทบาทใหม่เป็นธรรมดา แต่ความจริงแล้ว ผมเคยคิดไว้บ่อยๆ ว่า อีกไม่นานเกินรอ อาจจะมีภาพยนตร์ไทยสักเรื่อง ที่มีสาวประเภทสองรับบทนางเอกในฐานะผู้หญิงทั่วๆ ไป ซึ่งดูแล้ว คนดูก็ไม่รู้สึกขัดเขินอะไร <br /><br />มันต้องเป็นไปได้สิ <br /><br />ตอนได้ยินข่าวเกี่ยวกับวงนี้ใหม่ๆ จากเพื่อนคนหนึ่ง ผมก็ตั้งคำถามคล้ายๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ ว่า พวกเธอจะร้องเพลงได้ดีเหรอ? จะร้องเสียงผู้หญิงหรือเสียงผู้ชาย? สามารถเป็นนักร้องมือโปรได้เหรอ? หรือจะเป็นแค่เพียงหน้าสวย อกตู้ม สูงยาว เข่าดี?<br /><br />“โบโบ้” สาวหุ่นบาง ผิวสีน้ำผึ้งบอกว่า เธอเคยทำงานเป็นคอรัสในผับแถวพัทยามาก่อน แรกๆ เลยก็ร้องแบ็คอัพให้นักร้องอยู่หลังเวที จับพลัดจับผลู ผู้ใหญ่เห็นแวว เลยส่งเธอออกไปยืนประกบนักร้องซะเลย ต่อมา เพื่อนคนหนึ่งชวนเธอให้ไปเป็นเพื่อนหล่อนตอนโซนี่เปิดออดิชั่น<br /><br />โบโบ้ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเธอเป็นผู้เข้ารอบ ส่วนเพื่อนคนนั้นตกรอบ ในการให้สัมภาษณ์รายการฮอตไลน์ฯ ที่ผมกับเพื่อนจัดอยู่ทุกคืนวันเสาร์ เพื่อนๆ ของเธอช่วยกันเล่าว่า แม้จะได้เป็นนักร้องแล้ว โบโบ้ก็อยากเป็นคอรัสซะมากกว่า <br /><br />โบโบ้สามารถร้องเสียงผู้หญิงและเสียงผู้ชายได้ดีไม่มีที่ติเลยล่ะครับ<br /><br />สาวเสียงดีอีกคนคือ “เอมมี่” ในฐานะสาวสวยหน้าหวาน นัยน์ตาชวนฝัน หากไม่บอกว่า เอมมี่เป็นสาวประเภทสอง ใครก็คงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เสียงและบุคลิกของเธอ นุ่มมากๆ เอมมี่ดูเหมือนจะร้องคีย์สูงได้ดีกว่าใคร<br /><br />ความเป็นมาของเธอผู้นี้ก็คือ จริงๆ เธอตกไปแล้วในการออดิชั่น แต่คงเพราะแรงศรัทธา บารมีหรือการบนบานศาลอย่างแรงกล้า เธอกลับได้รับเลือกเข้าวงอย่างไม่มีใครคาดฝัน หลังจากมีโอกาสไปร้องเพลงให้กรรมการฟังใหม่อีกครั้ง <br /><br />ปัจจุบันเอมมี่กำลังเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ เธอเคยเข้าประกวดมิสทิฟฟานี่ ปี 2005 กับ “ทาย่า” แต่ไม่รู้จักกันมาก่อน<br /><br />“ทาย่า” สาวหน้าสวยบาดใจหนุ่มๆ จากการเวทีประกวดมิสทิฟฟานี่ นอกจากจะได้รองอันดับหนึ่งมาครองแล้ว ทาย่ายังเคยได้ตำแหน่งจากหลายเวทีประกวด เวทีหนึ่งคือ นางงาม “เชื่อหรือไม่ (Believe it or not)” ทาย่าบอกกับรายการตีสิบที่ออกอากาศไปปลายปีที่แล้วว่า ได้เข้ามาออดิชั่นเพราะทางทิฟฟานี่ติดต่อมา ผมมองบางมุมของทาย่า ก็พบว่า เธอเป็นคนที่ดูอบอุ่นไม่น้อย <br /><br />สาวงามพร้อมมงกุฎอีกคนที่มาร่วมตั้งทีมคือ “นก” <br /><br />ตำแหน่งมิสอัลคาซ่าของเธอ เกือบทำให้เธอไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมวีนัสฯ เพราะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ทางค่ายเพลงเปิดออดิชั่น หลังจากรับตำแหน่งวันที่ 5 พ.ย. (2005) วันที่ 6 เธอไปเชียงใหม่ วันที่ 7 ปิดออดิชั่น แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจไปลองจนได้เพราะรุ่นพี่ คุณ “ส้มโอ” นักแสดง แจ้งให้ไป นกบอกว่า กว่าจะพาตัวเองลุกจากเตียง ก็บ่ายแล้ว น้ำก็ยังไม่ได้อาบ <br /><br />นกเป็นคนหุ่นสวย สะโพกดิ้นดินระเบิด เธอมั่นใจ คุยเก่ง และมีไหวพริบดี <br /><br />คนสุดท้าย “จีน่า” สาวอารมณ์ดี รูปร่างสูงใหญ่ เสียงดังเป็นกังวาน เธอมีผมหน้าม้าสีดำขลับเป็นมันเงางามซะจนคนคิดว่าเธอใส่วิกอยู่ตลอด ถ้าใครชอบดูซีรี่ย์สาวนักรบ “Zena Warrior Princess” ทางยูบีซีที่บรรดาหญิงรักหญิงนิยมดูละก้อ จีน่า รับบทนำได้เลยสบายๆ เลยล่ะครับ <br /><br />เธอเล่าว่า มาเสี่ยงโชคในกรุงเทพฯ และได้ไปร่วมออดิชั่น เธอเลือกร้องเพลงลูกทุ่งจนชนะใจกรรมการ <br /><br />สัมภาษณ์ไปก็หัวเราะไปล่ะครับ เพราะพวกเธอมีอารมณ์ขันเหลือร้าย สิ่งหนึ่งที่น่าปรบมือให้ก็คือ ความสมัครสมานสามัคคีของสมาชิกกลุ่มนี้ ตอนสัมภาษณ์กัน ผมกับผู้ร่วมสัมภาษณ์แทบจะไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเลย เพราะพวกเธอตั้งคำถามกันเอง แล้วโยนลูกให้กันและกันตอบอย่างเมามันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร<br /><br />พอถึงคำถามเรื่องการวางตำแหน่งสินค้าในตลาด จีน่า ถามเอง ตอบเองทันทีที่มีข้อสงสัยว่า วงวีนัสฯ ของเธอเลียนแบบมาจากวง Spice Girls หรือเปล่า เธอเล่าว่า ความจริง เวลาพูดคุยสื่อสารกันว่า อยากจะให้วงออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน ทางค่ายจะมองไปที่วง Pussycat Dolls (เพลงดัง Don’t Cha) มากกว่า <br /><br />“วีนัสไม่ได้เลียนแบบใครนะคะ เราเอาตัวของเราเองออกมา” จีน่ายืนยัน พร้อมเสียงสนับสนุนที่หนักแน่นจากนกเพื่อนที่นั่งข้างๆ ของเธอที่ช่วยแจงว่า <br /><br />วงของเธอ ไม่ต้องการเป็นสูตรสำเร็จใดๆ ที่บอกกันมาว่า การเป็นกะเทย มีรูปแบบเดียว ต้องแต่งตัวเหมือนๆ กัน หรือต้องทำอะไรเหมือนกันหมด เช่น ต้องคอยทำตัวเรียบร้อยน่ารัก ต้องทำตัวเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ต้องทำตามกรอบสังคมและกรอบที่อยู่ในใจที่มักสร้างความเก็บกดและอึดอัด และในความเป็นจริงแล้ว คนเป็นกะเทย ก็เหมือนคนทั่วไปที่มีความหลากหลาย คิดอะไรแตกต่างกัน<br /><br />“เราไม่ได้บอกว่า เราเป็นผู้หญิง เราเป็นสาวประเภทสอง” นกพูดอย่างมั่นใจและภาคภูมิใจ นกเล่าด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ตัวเธอพยายามจะทำตัวเป็นผู้หญิงให้ใครๆ ยอมรับ แต่ก็ไม่สำเร็จ ซึ่งในเมื่อมันไม่ใช่...ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี เธอบอกอีกด้วยว่า เป็นความกดดันอย่างหนึ่งที่คนเรา “พยายามทำตัวเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา” <br /><br />การเป็นวงสาวประเภทสองย่อมมีจุดขายทางการตลาดที่น่าสนใจอยู่แล้ว ยิ่งได้นักร้องที่ฝึกฝนกันมาอย่งดี และฉลาด มีความคิดของตัวเอง ยิ่งน่าสนใจ<br /><br />เพลงที่วงนำเสนอก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผู้ฟังเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นเพลงแนวรัก แนวอกหัก แนวให้กำลังใจที่ฟังได้สนุกสนาน ทางค่ายบอกว่า เป็นแนวเพลง “Nuable” (นูเอเบิ้ล) “ผสมผสานดนตรีในสไตล์ยุโรป เช่น Electronic, House, Clubbing, New Wave และมีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย” โดยทีโปรดิวเซอร์เป็นชาวเยอรมันสองคน <br /><br />“น่าสนใจมั๊ยล่ะคะว่า ทำไมสาวประเภทสองมักจะคู่กับประเทศเยอรมัน” ทาย่าติดตลก<br /><br />วง Venus Flytrap ซึ่งแปลว่า ต้นกาบหอยแครง ที่มีความสวยใช้ล่อแมลง (คงต้องเป็นตัวผู้เท่านั้น) มาเป็นเหยื่อ มีเพลงเอกคือ Visa for love เนื้อหาในเพลง เรียกได้ว่า empower หรือสนับสนุนเสริมสร้างพลังให้กับผู้หญิงล้วนๆ คือ ผู้หญิงควรมีสิทธิ์เป็นฝ่ายเลือกว่า ฉันจะต่อวีซ่าความรักให้เธอหรือเปล่า เพราะฉะนั้นผู้ชายต้องทำตัวดีๆ อย่างสม่ำเสมอ <br /><br />เพลงอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มี Cause I’m Your Lady และ The Loser ลองหามาฟังกันดู <br /><br />ก่อนหน้านี้ที่เกาหลี ปี 2005 มีวงสาวประเภทสองออกอัลบั้มมาแล้วชื่อวง “Lady” ประกอบด้วยสาวหน้าหมวยเซ็กซี่สี่คน แต่พวกเธอไม่ใช่สาวประเภทสองที่มีอัลบั้มเป็นของตัวเองเป็นเจ้าแรก<br /><br />นางแบบ-นักร้องสาวประเภทสองผู้ร้อนแรงแห่งเกาหลี “Harisu” เคยมีผลงานเพลงของตัวเองมาก่อน <br /><br />Harisu (ฉายา Foxy Lady) ถือว่า เป็นสาวประเภทสองคนสำคัญที่เปิดศักราชใหม่ให้วงการบันเทิงเกาหลี เธอเซ็นสัญญารับงานเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ามากมายหลายชนิด กระทั่งสินค้าเกี่ยวกับผ้าอนามัย Harisu ดังเป็นพลุทั้งๆ ที่ประเทศนี้มีภาพลักษณ์ว่า แอนตี้เกย์-กะเทยมากกว่าหลายๆ ประเทศในเอเชีย ผมคิดว่า อะไรๆ ก็น่าจะเปลี่ยนได้ เมื่อถึงเวลาของมัน<br /><br />เสียดายครับ วง Lady ออกมาอัลบั้มเดียว ก็เงียบหายไป ไม่มีข่าวอะไรอื่นมาอีกเลย <br /><br />ผมก็หวังว่า วงวีนัสฯ ของไทยจะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มหนึ่งสำหรับประเทศไทยต่อๆ ไป ทำให้ใครๆ เห็นเป็นประจักษ์ว่า “ผู้หญิงที่มาจากดาวอังคาร” กลุ่มนี้ สามารถสร้างบทบาทที่แตกต่างทางสังคมได้<br /><br />ใช่ว่า กะเทยต้องทำผมและแต่งหน้าเก่งอย่างเดียว<br /><br />-end-<br /><br />All right reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1168792824465148092007-01-14T23:35:00.000+07:002007-01-15T14:16:11.013+07:00ครั้งหนึ่งในชีวิต<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/126857/4209251.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/250084/4209251.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 13-14 Jan 2007<br /><br /><strong>กล้องวิดีโอพร้อม ผู้อ่านบทพร้อม ผู้กำกับประจำที่ ทุกคนกำลังรอคอยผู้มาเยือนอย่างใจจอใจจ่อ และแล้วหนุ่มน้อยอายุราวยี่สิบคนหนึ่ง ก็ก้าวเข้ามา เขากำลังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ตรงหน้าเวทีที่ไม่ห่างไกลจากพวกเรานัก</strong> <br /><br />“ไหนลองแนะนำตัวเองสั้นๆ ครับ” ผู้กำกับประกาศอย่างอารมณ์ดี <br /><br />ทุกคนมองไปที่เขาคนนั้น รอคอยคำพูดแรกของหนุ่มผมสั้นเกรียน ท่าทางเหมือนนักเรียนมากกว่าจะเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายตามใบสมัครที่เขาเพิ่งกรอกเสร็จ สังเกตดูคร่าวๆ จากสีหน้า แววตา และท่าทาง ขณะที่เขาแนะนำตัวต่อหน้ากล้อง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาดูต่างจากคนอื่นๆ ที่เคยมายืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน สงสัยคงเป็นเพราะ...ความมั่นใจ<br /><br />บทสนทนาที่นำมาทดสอบกับเขาคือบทหนุ่มคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่เพื่อนๆ และคนรอบข้างของเขาไม่รู้ แม้ทั้งสองกันเป็นแฟนกันมานาน ในบท เขาทั้งสองกำลังแซวๆ และพูดจาจีบกันตามประสาคนรัก <br /><br />หนุ่มผมเกรียนเริ่มการแสดงของเขา ดูเขาเกร็งเล็กน้อยที่ต้องพูดตามบทที่บอกไว้ในกระดาษ แม้เขาจะจำได้หมดเกือบทุกคำพูด มันก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ ผู้กำกับบอกขึ้นมาว่า ไม่ต้องพูดตามบทแล้ว ให้คิดเอาเองว่าอยากจะพูดอะไร ผู้ช่วยผู้กำกับจึงเริ่มด้นกลอนสด “เป็นชุด” และแล้วหนุ่มคนนั้นก็ต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหลจนน่าแปลกใจ<br /><br />คุณผู้อ่านครับ ที่ผมเขียนอยู่นี้ เป็นขั้นตอนหนึ่งทั่วๆ ไป ในการค้นหา ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่า ควานหาเลยล่ะ ควานหานักแสดง “เป็นจำนวนมาก” สำหรับหนังเรื่องใหม่ที่พวกเรากำลังเตรียมดำเนินการถ่ายทำ<br /><br />ดูๆ ไป ไม่ได้ยากอะไรหรอกครับ เพราะเป็นไปตามกระบวนการของมัน แต่สิ่งที่ยากและสร้างความหนักใจให้กับทีมผู้สร้างอยู่เสมอก็คือ จะหาคนที่ “เหมาะสม” กับบทที่สุดได้ยังไง? พวกเขาอยู่ที่ไหน? คำถามที่ถามจนไม่อยากถามก็คือ แล้วเขาจะรับบท “ชายรักชาย” ได้หรือเปล่า?<br /><br /><strong>ผมไม่อ้อมค้อมหรอกนะครับว่า ผมกำลังจีบคุณผู้อ่านที่สนใจอยู่ให้มาร่วมงานกัน…สักครั้ง</strong><br /><br />คุณผู้อ่านที่ติดตาม “เลิกแอบเสียที” คงพอทราบแล้วนะครับว่า งานอีกอย่างของผมก็คือ ทำหนัง จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจยึดเป็นอาชีพเลย แต่ยิ่งทำยิ่งสนุก เพราะผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ และอีกอย่างคือ มันทำให้ผมมีเพื่อนมากขึ้น<br /><br />ทีมของเราไม่คิดจะทำหนังเกี่ยวกับหญิงชายทั่วไป เพราะมีคนทำเยอะแล้ว แต่จะทำเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันเท่านั้น และสื่อสารเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ ไร้อคติแอบแฝง นี่เป็นจุดยืนที่เราเริ่มต้นมา และยังศรัทธาอยู่ <br /><br />หนังเรื่องที่แล้ว “เรนโบว์บอยส์ เดอะมูฟวี่” (กำลังออกเป็นวีซีดี สิ้นเดือนมกราคมนี้) ทำให้ผมมั่นใจขึ้นกับสิ่งที่ทำเพราะได้รับแรงใจสนับสนุนจากผู้อ่านคอลัมน์นี้เสมอมา ตั้งแต่เริ่มทำ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มันเหมือนมีใครบางคนยืนยิ้มให้เราอยู่ รอยยิ้มนั้นจึงยังประทับอยู่ในความทรงจำเสมอ<br /><br />ตอนนี้ผมต้องการแรงสนับสนุนอีกแล้วล่ะครับ นึกๆ ดู แล้วจะไปป่าวประกาศที่ไหน ถ้าไม่ใช่คอลัมน์นี้ ซึ่งเป็นช่องทางที่จะสื่อสารถึงผู้คนได้ในวงกว้าง แล้วผมอาจจะได้พบใครบางคนที่นึกไม่ถึง<br /><br />อย่างหนุ่มน้อยคนนี้ไง ตรงหน้าเรานี้ เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกเขาเข้าทีมนักแสดงนะครับ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาก็ซื้อใจผมไปแล้วครึ่งหนึ่ง <br /><br />การแสดงของเขาโดยไม่ได้พูดตามบท ดูไม่เคอะเขินเลยสักนิด มือไม้ ไม่ได้ปัดป่ายไปมา เขานิ่งมากๆ และพูดต่อบทสดๆ ได้อย่างดี มีสมาธิ จนผมมั่นใจแล้วว่า “เกย์ดาร์” ของผม ยังคงใช้งานได้อยู่ แม้ในยุคสมัยนี้ จะดูใครว่า ใครเป็นเกย์ ใครไม่เป็นเกย์ เริ่มยากขึ้นทุกที ผมมองหน้าผู้กำกับ เหมือนรู้กันว่า คนนี้แหละ “ตัวจริง” คนหนึ่ง<br /><br />ก่อนหน้านี้ ผู้กำกับฯ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของผมเอง มาบ่นๆ ให้ฟังว่า หานักแสดงค่อนข้างยาก ผมชักสงสัย ทั้งๆ ที่เขาก็มีนักแสดงหน้าใหม่อยู่ในสต็อคเป็นกะตั้ก บวกกับงานที่ตัวเองทำอยู่ ก็คือ สอนและหานักแสดงหน้าใหม่ป้อนวงการหนังไทย นักแสดงดังๆ หลายคน ก็เป็นลูกศิษย์เขามาก่อน เขายังรู้สึกหนักใจที่ต้องมาหานักแสดงให้กับหนังเรื่องนี้อยู่เหรอ?<br /><br />แล้วผมก็เข้าใจ...ปัญหาเดิมๆ ครับ มีนักแสดงที่เหมาะกับบท แต่ตัวนักแสดงเอง และตัวผู้กำกับเอง ไม่แน่ใจว่า ทำไป ทำมาจะเล่นบท “เกย์” ได้หรือเปล่า เราเคยเจอปัญหานี้แล้วในหนังเรื่องแรก สารภาพเลยล่ะครับว่า เป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับทั้งทีมงานสร้าง และผู้แสดงคนอื่นๆ<br /><br />มีเพียงสิ่งเดียวล่ะครับที่จะทำให้งานนี้ เดินหน้าต่อไปได้ นั่นคือ ความจริง และความจริงใจ ผมเชื่ออย่างนั้น <br /><br />หลังจากทดสอบความสามารถอื่นๆ ของผู้สมัครหน้าใหม่คนนี้ไปแล้ว ผู้กำกับหันมาถามผมว่า “มีอะไรจะถามเขาอีก?” ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง ไม่แน่ใจว่า จะทำให้ใครในโลกนี้ ลำบากใจหรือเปล่า แต่ด้วย ความจริงและความจริงใจที่เราต้องรู้จักกัน ผมเลยถามน้องคนนี้ไปเลยว่า<br /><br />“น้องครับ เคยไปเที่ยว ซาวน์น่า มั๊ยครับ” พูดแล้ว ผมก็รู้สึกว่า ในห้องนั้น ดูเงียบวังเวงผิดปกติ<br /><br />สิ่งที่ผมมั่นใจและคาดหวังจะเห็นหลังจากถามคำถามนั้นก็คือ น้อง “หน้าใส” คนนี้จะเปลี่ยนเป็น “น้องหน้าแดง” แทน แต่เปล่าเลย! เขาตอบกลับมาอย่างเรียบๆ ว่า “เคยครับ ไปกับเพื่อนหลายคน”<br /><br />เกย์ดาร์ของผมยังใช้ได้อยู่จริงๆ <br /><br />ดูเขาจะผ่อนคลายยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลังจากบอกสิ่งนั้นออกมา ผมเลยถามรายละเอียดอื่นๆ ว่า เขาเคยไปเที่ยวที่ไหนมา และเขารู้สึกยังไง เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด หรือเขาอาจจะตั้งใจจะไม่เล่าหมดก็ไม่อาจทราบได้ แต่จากการสัมภาษณ์นั้น ผมก็พบว่า ที่บ้านเขารู้แล้วว่า เขาเป็นเกย์ และเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่หลุดพ้นจากห่วงกังวลแล้ว<br /><br />คนรุ่นใหม่ย่อมไม่เหมือนคนรุ่นเก่า หรือ เขาเพียงโชคดีกว่าคนอื่นๆ ที่ได้เป็นตัวของตัวองซะที? ผมไม่ค่อยแน่ใจที่จะสรุปอะไร<br /><br />เขาเล่าเรื่องที่บ้านให้พวกเราฟังเหมือนเล่านิทานสนุกๆ เล่าไปหัวเราะไป ผมบอกตัวเองในใจว่า คนอย่างนี้แหละ ที่ผม “ควานหา” อยู่ ถ้ามีมาเยอะๆ คงจะมหัศจรรย์ใจมากๆ และหากเขาเข้ามาอยู่ในทีมนักแสดงหนังเรื่องใหม่นี้ จะไม่สร้างความหนักใจให้กับคนอื่นๆ ทั้งที่เป็นเกย์ หรือไม่เป็นเกย์ เพราะทุกคน ไม่ต้อง “ปิดบังอำพราง” อะไรกันอีกแล้วในการทำงาน <br /><br />ผู้กำกับก็เข้าใจ ไม่ต้องเดา คนสอนการแสดงก็ยกตัวอย่างอะไรๆ ได้อย่างเปิดกว้าง ไม่ต้องระวัง หรือมัวแต่กลัวจะกระทบความรู้สึก หรือทำให้คนนั้นระแวงในเจตนา คุณผู้อ่านครับ หมั่นไส้ผมเถอะครับ ถ้าผมจะเรียกสิ่งนี้ว่า นี่แหละ “อานุภาพแห่งการเลิกแอบ”<br /><br />หนังยาวเรื่องใหม่ที่เราเตรียมงานกันอยู่ จะถ่ายทำกันอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อยและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดฉายกลางปีนี้ ผมกับเพื่อน คงมีเวลาน้อยลงกว่าเดิมที่จะไปนั่งหน้าสีลม หรือเดินเตร่ที่สยามเพื่อหานักแสดงมาร่วมงาน เลยขออนุญาตพื้นที่ตรงนี้... <br /><br />หากคุณเป็นคนมั่นใจ ไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่กลัวคนจะรู้ หรือคุณเป็นผู้อ่านที่มีเพื่อนที่คุณคิดว่า น่าจะส่งเพื่อนเข้าประกวด เพราะเพื่อนคนนี้เหมาะเหลือเกินที่จะเล่นหนังตลก เรามีบทให้เลือกหลายบท รวมทั้งบทนักแสดงประกอบอีกนับสามสิบชีวิตที่รอคนเหมาะๆ มาสวมอยู่ หรือเพียงแค่อยากจะหาประสบการณ์เล่นๆ ในชีวิตสักครั้งกับการรับบท “เป็นตัวเอง” ส่งอีเมล พร้อมรูปที่ดีที่สุดของคุณ และคำแนะนำตัวสั้นๆ มาที่ผม vitadam2002@yahoo.com <br /><br />หนังเรื่องนี้ยังไม่มีชื่อเป็นทางการ เราเรียกกันไปพลางๆ ตอนนี้ว่า “ซาว์น่า” <br /><br /><strong>บอกต่อกันไป</strong> : รายการเด็ดที่ไม่ควรพลาด ได้ความรู้และอาจได้เพื่อนใหม่ “ชวนไปชม ภาพเชิงสังวาสของเพศเดียวกันในจิตรกรรมฝาผนัง” จัดโดยกลุ่มอัญจารี เป็นรายการทัวร์เยี่ยมวัดสองแห่งในกทม. พร้อมผู้บรรยายที่รู้จริง รับประทานกลางวันร่วมกัน ทั้งชายหญิง และเหล่าคนรักเพศเดียวกัน มาได้หมด วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 11.00-16.00 พบกันหน้า พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มีค่าใช้จ่ายบ้าง ไม่มาก ติดต่อรายละเอียด 086-677-9009 หรือ info@anjaree.net / www.anjaree.net<br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1168179989105239812007-01-07T21:19:00.000+07:002007-01-07T21:26:29.873+07:00ยอมรับ แต่...ไม่ยอมแพ้<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/492588/pix_for30-31dec2006.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/497460/pix_for30-31dec2006.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 30-31 Dec 2006<br />(หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ โพสต์สลับวันกับบทความอาทิตย์ที่แล้ว บทความชิ้นนี้คือชิ้นที่ตีพิมพ์ก่อนปีใหม่ครับ ขออภัยที่สลับกัน)<br /><br /><strong>ครั้งสุดท้ายที่คุณ “ถูกปฏิเสธ” คือเมื่อไหร่? สองเดือนที่แล้ว อาทิตย์ที่แล้ว หรือเพิ่งจะเมื่อคืนนี้เอง?</strong><br /><br />คุณออกไปพบปะผู้คนอีกครั้ง คุณมองเห็นใครคนหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงนั้น เขามองมาที่คุณ คุณมองไปที่เขา ลังเลอยู่นาน...จนในที่สุด เพื่อนๆ ตัวดีของคุณ ก็ยุยงส่งเสริมให้คุณกล้าๆ หน่อย คุณยอมแพ้แรงยุที่โหมกระหน่ำ แต่คุณก็อ้างเข้าข้างตัวเองได้ว่า เอาก็เอาวะ...เพื่อเพื่อน<br /><br />แล้วคุณก็ควานหาเศษกระดาษเล็กๆ ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ขอยืมปากกาจากเด็กเสิร์ฟ บรรจงเขียนลงไป<br /><br />“คุณน่ารักจัง ผมอยากรู้จักครับ”<br /><br />สาส์นของคุณในมือเพื่อนคนหนึ่ง กำลังเดินทางไปหาเป้าหมาย คุณแกล้งทำเป็นไม่ตั้งใจจะมอง แต่สายตาระวังสังเกต เขารับมันไป ค่อยๆ คลี่ออกมาอ่าน เขายิ้มขึ้นนิดหนึ่ง แล้วแรงยุยงส่งเสริม ก็ตามมาอีกระลอก คราวนี้ คุณถือแก้วพร้อมจะออกเดินอยู่ตั้งนานแล้ว <br /><br />คุณตัดสินใจ ยินยอมเป็นผู้เปิดเผยความต้องการ และเตรียมทำความรู้จักเขาคนนั้น <br /><br />ทุกย่างก้าวยิ่งทวีความตื่นเต้น ขณะที่คุณเข้าไปใกล้เขามากขึ้นๆ ไออุ่นจากตัวเขาเข้ามากระทบเนื้อตัวคุณ กระทั่งเสียงลมหายใจ คุณก็รับรู้มันอย่างชัดเจน แม้เสียงเพลงจะดังกลบสองรูหู แต่พอยิ่งเข้าใกล้ คุณเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกออกไป เขาชนแก้วกับคุณ แต่ดูเหมือน เขาพอใจ แค่เพียงชนแก้วเท่านั้น <br /><br />แล้วคุณก็รู้สึกเหมือนถูกจับโยนออกมา เหมือนเป็นสิ่งของอะไรสักอย่าง<br /><br />คุณผู้อ่านครับ คงไม่ปฏิเสธว่า การ “ถูกปฏิเสธ” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในชีวิต ดีกรีของมันอาจต่างกันตามแต่สถานการณ์ <br /><br />คุณไม่ได้เป็นคนที่เจ้านายเลือกให้ทำงานชิ้นนั้น คุณไม่ได้รับรางวัลนักศึกษาดีเด่น คุณโทรฯ ชวนเพื่อนไปดูคอนเสิร์ต แถมบัตรฟรีให้ต่างหาก แต่น่าแปลก ไม่มีใครว่างซักคน คุณกำลังเดทกับคนๆ หนึ่ง ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แล้วเขาก็กลับเงียบเป็นเป่าสาก โทรฯ ไป ก็ไม่โทรฯ กลับ ฝากข้อความเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ จนคุณเริ่มชิงชังการกระทำของตัวเอง<br /><br />คุณรู้สึกไร้ค่าขึ้นมาอีกแล้ว คุณไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย<br /><br />เมื่อคุณถูกปฏิเสธ นอกจากจะรู้สึกหมดศักดิ์ศรีไม่มีราคา และรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการแล้ว ที่คุณรู้สึกว่า “ไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีกเลย” ก็เพราะ คุณกำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย และสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ในตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้ คุณอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ยิ่งได้ล้มตัวลงนอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงไว้ตลอดกาล คุณจะรีบทำทันที<br /><br />คนส่วนใหญ่จะโทษตัวเองเป็นอันดับแรก คุณเองอาจจะพยายามมองหาเหตุผลอื่นๆ คิดไปต่างๆ นานาว่า คุณคงมีอะไรเสียหาย หรือไม่เหมาะสมที่จะทำความรู้จักกับเขาคนนั้น กระทั่งแค่พูดคุยกันงั้นหรือ? จนแล้วจนรอด คุณก็หาคำตอบไม่ได้ซะที สิ่งที่คุณพบอย่างเดียวคือตัวเอง และเพื่อเป็นการบูชายัญให้กับความพ่ายแพ้ คุณจะคอยมองหาเหตุอื่นๆ มาโทษตัวเองได้ไม่หยุดหย่อน<br /><br />สิ้นปีแล้ว คอลัมน์นี้คงไม่มีอะไรมอบให้คุณผู้อ่าน นอกจากบทความชิ้นสุดท้ายของปีนี้ที่ยังคอยเป็นกำลังใจให้ มันไม่ใช่คำอวยพรให้มีความสุขและมีสุขภาพแข็งแรง แต่ผมอยากจะอวยพรให้คุณผู้อ่านของผม <strong>รู้จักปรับตัวเองใหม่ให้ “ยอมรับ” แต่ไม่เคยที่จะ “ยอมแพ้”</strong> <br /><br />เมื่อใดก็ตามที่คุณ “จิตตก” เพราะเพิ่งถูกปฏิเสธมา ขอให้คุณกลับมาอ่านบทความนี้ใหม่ แล้วคุณจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง <br /><br />ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักมีคำแนะนำมาให้มากมายสำหรับผู้ที่ถูกปฏิเสธ และรู้สึกผิดหวังในชีวิตที่ยังหาใครมาควงไม่ได้ เท่าที่ผมเคยประสบและอ่านพบจากจดหมายของท่านผู้อ่าน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีหลายส่วนที่มีคำแนะนำคล้ายๆ กัน และมีประสบการณ์คล้ายกัน ลองปฏิบัติดูนะครับ<br /><br />อันดับแรก “จับกระแสอารมณ์โดยด่วน” อย่างซื่อสัตย์ ลองวัดดูว่า ตอนนี้ ณ บัดนี้ เวลานี้ คุณรู้สึกยังไงกันแน่ โมโหสุดๆ? แค้น เศร้าลึกๆ หรือแค่รู้สึกรำคาญหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ได้ดั่งใจ ? ลองพยายามแยกแยะอารมณ์เบื้องต้นเหล่านี้ดูนะครับว่า มีส่วนผสมเป็นอะไรบ้าง ไม่ต้องรู้สึกผิดที่พบความรู้สึกอย่างนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งสำคัญที่บรรดานักจิตวิทยาแนะนำคือ ยิ่งคุณรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเร็วเท่าไหร่ คุณจะ “เยียวยา” ตัวเองให้พ้นจากความขุ่นมัวที่โดนปฏิเสธได้เร็วขึ้นเท่านั้น<br /><br />ข้อสอง “เติมส่วนที่ขาด” หลังจากโทษตัวเองจนหนำใจแล้ว และรับรู้อารมณ์ที่แท้จริงแล้ว คุณจะค่อยๆ เรียกสติบางส่วนกลับคืนมา ส่วนที่หายไปก่อนหน้านี้ก็คือ คุณลืมไปว่า คุณก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างมาแล้วเหมือนกัน ลองนึกทบทวนดู นึกถึงเรื่องที่คุณเป็นผู้ชนะมาก่อน นึกถึงเหตุการณ์ที่คุณฝ่าฟันจนล่วงพ้นอุปสรรค และคุณฉลองให้กับสิ่งนั้นยังไง จริงๆ แล้ว ชีวิตคนเรา มีเรื่องสมหวังและผิดหวัง คุณคิดจะจมอยู่กับความผิดหวังเพราะโดนปฏิเสธ...ตลอดไปงั้นหรือ?<br /><br />ในขั้นที่สามนี้ ผมว่า บางทีก็ทำยากมากๆ ยิ่งกับคนไทย เพราะเราเป็นชาติที่อ่อนไหว และมักคิดเล็กคิดน้อยอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าคุณทำได้ คุณน่ะ สุดยอดเลยนะครับ ฝรั่ง เขามีคำพูดหนึ่ง เวลาที่เกิดปัญหากับใครคนหนึ่ง เช่นเพื่อนร่วมงาน หรือเกิดทะเลาะกับเพื่อนฝูง ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง เขาจะพูดว่า “Don’t take it personally.” คืออย่าถือเป็นอารมณ์ส่วนตัวให้ใหญ่โต จะสร้างความกินแหนงแคลงใจระหว่างกันเปล่าๆ คุณอาจรู้จักคนๆ นั้นมานานแล้ว หรือเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาปฏิเสธคุณ อย่าพยายามคิดว่า ต้องเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องเก็บไปคิดแค้นยาวนานให้สาสม ก็แค่ “คลื่นมันจูน” ไม่ตรงกัน เท่านั้นเอง Don’t take it personally!<br /> <br />ข้อที่สี่ ข้อนี้ได้ยินกันบ่อยๆ แต่มีน้อยคนจะตั้งสมาธิ ทำให้เกิดเป็นจริงได้ “ผู้เชี่ยวชาญ” บอกว่า จงมองสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นครูสอนใจ การถูกปฏิเสธ ในหลายๆ กรณีจะเปิดโอกาสให้เราหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง และเรียนรู้ภาวะอารมณ์ของตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น มันคือห้องเรียนธรรมชาติ มีอีกคำกล่าวหนึ่งที่ผมชอบมากคือ The difference between losers and winners is that losers don't fail enough. หมายความคร่าวๆ คือ มีสิ่งหนึ่งที่ผู้แพ้และผู้ชนะแตกต่างกันก็คือ ผู้แพ้นั้น ยังพ่ายแพ้ไม่เพียงพอ เลยไม่ได้เรียนรู้เพื่อจะเป็นผู้ชนะ ก็เหมือนคนอกหักแหละครับ อกหักบ่อยๆ มักจะแข็งแรง<br /><br />มีเรื่องแปลกแต่จริงอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณคงเคยประสบมาแล้ว คุณอาจเคยได้ยินใครบางคนบอกว่า ผมไม่เคยโดนปฏิเสธ นอกจากเขาจะสื่อความให้คุณรับรู้ว่า เขาเป็นที่ต้องการ เขา “ฮ็อต” เสมอ เขาเหนือกว่าใคร คนอย่างนี้น่ากลัวครับ คือส่วนใหญ่ จะเป็นคนรีบปฏิเสธคนอื่นๆ ก่อน เพราะเขากลัว และไม่มั่นใจในตัวเองหากกลายเป็นคนโดนปฏิเสธเสียเอง เมื่อคุณเจอคนประเภทนี้ จงคิดเสียว่า พวกเขากำลังป้องกันตัวเอง ไม่ใช่เพราะเขาเก่งกว่าคุณ หรือเหนือกว่าคุณ <br /><br /><strong>เมื่อโดนปฏิเสธ จงยอมรับมัน มันเกิดขึ้นแล้ว แต่อย่ายอมพ่ายแพ้เป็นอันขาด เหนื่อยนัก ก็พักการ “ค้นหา” บ้างนะครับ</strong><br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1167575344106993672006-12-31T21:19:00.000+07:002006-12-31T21:29:04.386+07:00เซ็กซ์ในฟิตเนส<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/747783/rd_nipples123.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/144568/rd_nipples123.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 6-7 Jan 2006<br /><br /><strong>“จริงเหรอครับ?” ผมหยุดกึ้ก ขณะเช็ดเหงื่อที่ท่วมใบหน้า ผมหันไปมอง “พี่เจ” อย่างงงๆ อีกครั้ง แล้วถามต่อ “ที่นี่ ก็มีเหมือนกันเหรอพี่?…ไม่เห็นจะเคยเจอ...”</strong><br /><br />“ก็เจอมาแล้ว สองสามหน” เขาพูด ยิ้มนิดๆ ส่วนผมยังคงทำหน้าสงสัยอยู่<br /><br />สองสามเดือนก่อนหน้านี้ “นายเป้” เพื่อนผมอีกคนเล่าให้ฟังว่า ฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่ง กลางใจเมือง ซึ่งมีจำนวนสมาชิกหนาแน่น เพิ่งจะอับเปหิสมาชิกชายสองคนที่ไปทำ “กิจกรรมนอกหลักสูตร” กันในห้องอาบน้ำ<br /><br />ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ข่าว หรือได้รับรู้มาสักพักใหญ่ๆ แล้วว่า สาขาของฟิตเนสบางแห่งที่ประสบกับเรื่องดังกล่าวก็เอาป้ายมาติด ประกาศให้รับรู้ทั่วกันพร้อมและออกกฎเข้มว่า หากพบการกระทำเช่นนั้น จะหมดสภาพการเป็นสมาชิกอย่างถาวร และในบางกรณีอาจมีการดำเนินการทางกฎหมาย<br /><br />ความจริงแล้ว นายเป้เองก็เคยทำอย่างนั้นมาก่อน ต่างกันเพียงแค่ว่า เขายังไม่ถูกจับได้ <br /><br />เขาเล่าให้ผมฟังอีกว่า คนที่เขาไปมีอะไรด้วย ก็เคยเห็นหน้ากันอยู่ ไม่เคยคุยกันหรอก เพียงแต่สบตากันตรงทางเดินไปห้องอาบน้ำ แล้วสองคนก็เกิดใจตรงกันขึ้นมา จากสายตาที่ส่งให้กันนั้นนำพาให้ผู้ชายคนนั้นเดินตามเป้ไปเหมือนต้องมนต์สะกด<br /><br />“แล้วมันเกิดขึ้นตอนไหน ยังไง แล้วไปทำ ‘อะไร’ กัน?” ผมถามเป็นชุดด้วยความสงสัยอย่างแรง นึกไม่ออกจริงๆ เลยครับว่า ในห้องอาบน้ำที่มีผู้คนเดินไปเดินมา อยู่ๆ จะไปหาจังหวะไหน ไปทำกิจกรรมกันน่ะ<br /><br />“ก็บางที ช่วงเช้าๆ หรือช่วงก่อนเที่ยง ไม่ค่อยจะมีคนหรอก คือของอย่างนี้ มันอธิบายไม่ถูกหรอก พอดีวันนั้น ชั้นฟลุ้กมั้ง เลยเจอ” นายเป้บอกด้วยดวงตาเป็นประกาย<br /><br />“แล้วนายไม่กลัวฟลุ้กโดนจับเหรอ”<br /><br /> “ก็...ไม่รู้สิ...รู้สึกตื่นเต้นดี” นายเป้ยักไหล่ พลางหัวเราะเบาๆ<br /><br />พอนึกถึงเรื่องนายเป้ไปสักพักหนึ่ง ผมก็หันไปถามพี่เจต่อด้วยคำถามเดียวกันว่า แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง อีกอย่าง จากที่ผมพอรู้จักพี่เจ ดูเขาไม่น่าจะ “หื่น” เท่านายเป้เพื่อนผม<br /><br />“ก็เราไม่ค่อยเข้าห้องเซาว์น่านี่ จะไปเจออาไร้ อย่างวันก่อนน่ะ พี่เกือบโดนปล้ำ” พี่เจ เริ่มเล่า <br /><br />เรื่องของเรื่องคือ ปกติแล้ว เขาเข้าห้องอบเซาว์น่าเป็นประจำ เพราะทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหักโหม วันนั้น ในนั้น หลังจากนั่งอยู่คนเดียวมาพักหนึ่ง ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา เขาดูแล้วน่าจะอายุแก่กว่าเขาสักสี่ห้าปี อืมม์...รุ่นใหญ่ <br /><br />แขกผู้มาเยือนปรากฏกายพร้อมกับกางเกงในตัวจิ๋ว ส่วนพี่เจ อยู่ในชุดผ้าขนหนู <br /><br />ด้วยความที่พี่เจเป็นคนคุยสนุกสนาน เขาก็ทักทายชายรุ่นอาวุโสผู้นั้นอย่างเป็นกันเอง ในห้องนั้นน่ะ คุณผู้อ่านที่ยังไม่เคยเข้าห้องเซาว์น่า ส่วนใหญ่ ก็เป็นห้องเล็กๆ อบความร้อนจากถ่านคุ แต่สำหรับคนที่อยู่ในนั้น มันก็คือห้องสนทนาเล็กๆ ห้องแคบๆ ที่ถ้าอยู่กันสองคน ไม่พูดอะไร คงอึดอัด ถ้าเป็นผม ผมก็จะทำอย่างเดียวกันคือ ชวนคุย แก้เก้อ<br /><br />พอเริ่มคุ้นเคยกันสักพัก พี่ชายในกางเกงในก็เอ่ยปากขึ้นมาดื้อๆ ว่า “พี่ขอถอดกางเกงใน ได้มั๊ย มันไม่ค่อยสบายน่ะ” <br /><br /> “อ้ะ โอ๊ะ...ครับ...เชิญครับ” เจตอบ<br /><br />คงเป็นลีลาของพี่ชายผู้มีความมั่นใจในเรือนร่างที่ฟิตมาอย่างดี และน่าจะเคยสร้างประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนในที่นั้น เขาค่อยๆ ถอดกางเกงในออกอย่างไม่เคอะเขิน แล้วนั่งลงอีกครั้ง หันมามองหน้าพี่เจ แล้วถามขึ้นทันที<br /><br /><strong>“แล้วเราไม่ถอดเหรอ? ตามสบายนะ อย่าคิดมาก”</strong> <br /><br />พี่เจ เริ่มรู้แล้วว่า...อะไรเป็นอะไร <br /><br />“อ่า...ไม่...ดีกว่าครับ” เขายิ้มเขินๆ <br /><br />พี่ชายผู้มาเยือนฟังดังนั้น ก็สานต่อด้วยท่าทีทีเล่นทีจริงราวจะหยั่งเชิง ดูสถานการณ์ <br /><br />“งั้น...เดี๋ยว...ถ้าเกิดของพี่สู้ขึ้นมา ก็อย่าว่า อย่าคิดมากนะ” แล้วเขาก็หัวเราะ แต่ทำหน้าเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะบอกอะไร พี่เจเล่า<br /><br />พี่เจเล่าต่อว่า การสนทนาก็ดำเนินต่อไป สักพักผู้มาเยือนก็ เริ่มขยับตัวเข้ามานั่งใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ พี่เจมองเห็นสิ่งของนำเสนอจากเขาผู้นั้นอย่างถนัดตา<br /><br />ไม่รู้ว่า ในจังหวะไหน พี่เจบอกว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะมันรวดเร็วมาก เหนือความคาดคิดใดๆ ผู้มาเยือนคว้าข้อมือของพี่เจหมับ แล้วดึงมันเข้ามาวางแหมะตรงหว่างขาของตัวเอง พี่เจชักมือกลับแทบไม่ทัน <br /><br />“เอ่อ...พี่ ผมไม่ชอบ!”<br /><br />“อย่ามาโกหกเลย! พี่มองก็รู้ เราน่ะใช่ น่านะ” เขาพยายามอีกครั้ง แต่แล้ว พี่เจ ก็เตรียมขยับตัวหนี <br /><br />ในขณะนั้น ประตูก็ถูกผลักออกมา มีสมาชิกคลับอีกคนโผล่เข้ามาพอดี<br /><br />“เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ” พี่เจบอกผม พร้อมหัวเราะอารมณ์ดีให้กับเหตุการณ์นั้น <br /><br />“เกือบอะไรพี่ ถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามา...” ผมเย้า<br /><br />“บ้าดิ....ไม่เอาหรอก หุ่นก็โอเคนะ แต่หนังหน้าเนี่ย... ไม่ชอบว่ะ หน้าแบบนี้” พี่เจ พูดแล้วหัวเราะ<br /><br />“งั้นถ้าเกิดเขาหน้าตาดี คงไม่เหลือ?” ผมหัวเราะกลับ <br /><br />“เออ...ก็ไม่แน่” <br /><br />เจพยายามบรรยายรูปร่างหน้าตาพี่ชายคนนั้น แต่ผมนึกไม่ออกเสียทีว่าคนไหน จนวันหนึ่ง เราได้พบกันอีกครั้ง แล้วเขาก็รุกรี้รุกรน พยักเพยิดเชิดหน้าไปอีกทาง บอกผมว่า “นั่นไงๆ คนนั้นไง ที่จะปล้ำพี่ในห้องเซาว์น่า”<br /><br />ผมปลีกตัวออกไป แล้วรีบเดินตามไล่หลัง ไม่ลืมที่จะทำทีเป็นเดินแกร่วพอเนียนๆ อยากรู้นักว่า บุรุษผู้กล้าท้าทายโลกท่านนี้ หน้าตาเป็นอย่างไร <br /><br />แล้วผมก็มองเห็นชายอายุราวสี่สิบกว่า หุ่นกำยำ แต่งตัวด้วยชุดออกกำลังกาย แลดูแสน ธรรมดา ผมเผ้าก็แสนธรรมดา ดูยังไงๆ ให้ตายเถอะ ไม่มีสัญญาณ “สีรุ้ง” เปล่งออกมาซักนิด เขาก็เหมือนผู้ชายทั่วไปแหละ อีกอย่าง ดูท่าทาง ไม่เห็นจะเป็นคนหื่น หน้าตาเขาเรียบเฉย เหมือนเย็นชาด้วยซ้ำ แววตาไม่วอกแวก<br /><br />วันเดียวกัน หลังจากผมออกกำลังกายเสร็จ ผมไปที่ห้องล็อคเกอร์เพื่อจะผลัดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ผมก็พบว่า พี่ชายหุ่นบึ้กคนนั้น มีล็อคเกอร์อยู่ติดๆ กับผม ผมแกล้งทำทีเป็นไม่สนใจ แต่ก็คอยสังเกตพฤติกรรมของเขา เขาโผล่มาเหมือนแค่มาเอาของในล็อคเกอร์ แล้วก็เดินออกไป<br /><br />หรือเขากำลังสังเกตพฤติกรรมผมอยู่? <br /><br />ตอนผมอาบน้ำเสร็จ ราวกับเป็นเหตุบังเอิญ เขาอยู่ตรงนั้น หน้าล็อคเกอร์ของเขา กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าขณะที่เขากำลังเดินผ่านผมไปทางห้องอาบน้ำ ผมหันด้านข้างให้เขาอยู่ เขาก็ขยับผ้าขนหนูของเขาเหมือนจะรัดมันให้แน่น<br /><br />แต่ให้ตายเถอะ วิธีการของเขาคือ เขาเปิดผ้าออกมาอล่างฉ่าง แล้วค่อยๆ มัดปมใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ บอกได้เลยครับท่านผู้อ่าน ถ้าเกิดใครเดินสวนทางเขามาตอนนั้น ต้องเห็นน้องชายของเขาสว่างตาเป็นแน่<br /><br />ผมดูจากท่าทางที่เขาเดินแล้ว ดูเขามั่นใจในรูปร่างเขาเสียเหลือเกิน คุณผู้อ่านก็อาจจะพบพฤติกรรม “ส่งสัญญาณ” อย่างนี้มาก่อนเหมือนกัน ไม่ว่า จะใส่กางเกงในตัวเดียว เดินไปเดินมา ทำอะไรเชื่องช้า เหมือนมีเวลาทั้งโลก ไม่ยอมใส่เสื้อเสียที หรือบางกรณี ก็ชอบเดินวนอยู่ตรงที่อาบน้ำนั่นแหละ สงสัยทำอะไรตก ต้องคอยมองหา?<br /><br />ผมสงสัยจังว่า หากพวกเขาเหล่านั้น เข้าหาคนอื่นๆ ไป แล้วมีอะไรกัน เขาจะรู้ได้ยังไงว่า คนที่เขามีอะไรด้วย หรือไม่ได้มีอะไรด้วย แต่เขาแสดงท่าทีเข้าหาไปแล้ว จะเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว? อย่างน้อย ก็มีผมคนหนึ่งล่ะที่รู้เรื่องนี้จากพี่เจ และผมรู้ว่า ใครเป็นเกย์ในฟิตเนสแห่งนี้ แล้วเมื่อพี่เจ เกิดไปมีอะไรกับคนอื่น คนอื่นก็คงจะบอกต่อๆ กันไปกับเพื่อนของเขาเหมือนกัน บางที มันอาจจะเวียบกลับมาเข้าหูผม<br /><br />ข้อสงสัยอีกอย่างก็คือ อะไรกันนะที่ทำให้คนเรา “หื่น” ได้ในฟิตเนส หุ่นผู้ชายยามถอดเสื้อและเปลี่ยนกางเกงในห้องล็อคเกอร์ที่เร้าความรู้สึกอย่างช่วยไม่ได้? <br /><br />ความรู้สึกสบายคลายเนื้อตัวหลังออกกำลังเสร็จ และอยากจะสบายจากข้างในออกมาสู่ข้างนอกด้วยการระบายอะไรออกไป?<br /><br />บรรยากาศพาไปด้วยแสง สีเหมือนเรากำลังอยู่ที่บ้าน? หรือเป็นเพราะความเงียบลึกลับ ตอนอยู่ในห้องอบเซาว์น่าที่มีเพียงสองต่อสอง?<br /><br />หรือแท้จริงแล้ว เราหื่นได้ไม่เลือกสถานที่ และไม่มีกาลเทศะ? ท่านผู้อ่านคิดยังไงกันครับ?<br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com8tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1166931884670454612006-12-24T10:38:00.000+07:002006-12-24T10:45:31.680+07:00ค่ำคืนหนึ่งกับแสงสลัวๆ<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/359526/sauna.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/265732/sauna.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />23-24 Dec 2006<br /><br /><strong>บางคนก็บอกอยากจะรู้ บางคนก็บอกอย่าไปเขียน และก็มีบางคนบอกเสียงดังๆ เลยว่า ไม่อยากให้พูดถึงเลยจะได้ไหม?</strong> <br /><br />ฟังๆ ดู เหมือนเขาคนสุดท้ายนั้นกำลังบอกผมว่า มันไม่มีเซาว์น่าในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ ความจริงก็คือ ในกทม. นั้นเอาสองมือมานับก็ยังไม่พอ บางแห่งถึงกับติดอันดับโลกในเรื่องความหรูหราน่าสบายจนนักท่องเที่ยวยกย่องถ้วนหน้า แต่มันเป็น ‘ความภาคภูมิใจ’ หรือเปล่าสำหรับคนทั่วๆ ไป? <br /><br />เอาเถอะครับ เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะสนับสนุนหรือคัดค้าน หรือไม่อ่านต่อ และขณะเดียวกันก็มีมนุษย์สีรุ้งจำนวนไม่น้อยนึกภาพไม่ออก และบอกร่ำๆ ว่าอยากจะลองไป ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลเหมือนกันว่า จะไปหรือไม่ไป...<br /><br />เพื่อนรุ่นน้องชื่อ “เคน” บอกผมว่า เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง เขาเพิ่งไปเที่ยวเซาว์น่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมไม่รีรอที่จะจับเขามาเป็นกล้องขยายให้ผมในทันทีเพื่อจะเล่าเรื่องนี้ผ่านมุมมองของใครคนหนึ่ง...หนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ กับประสบการณ์ครั้งแรกของเขาในสถานที่ประเภทนั้น... <br /><br />ทำไมถึงอยากไปล่ะ? คำถามแรก<br /><br />“ก็ได้ยินพวกพี่ๆ ที่รู้จักกันพูดถึงบ่อยๆ ว่า ไปเดินห้องโน้น ไปเดินห้องนี้มา ไป ‘เก็บไม้’ (มีเพศสัมพันธ์กัน) มาได้สองสามไม้ ผมก็เลยรู้สึกอยากรู้ว่า มันเป็นยังไง”<br /><br />แล้วบังเอิญในช่วงเวลานั้น เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่นับถือกันก็โทรฯ มาหาเคนพอดี และประกาศว่ากำลังจะไปเซาว์น่า เห็นน้องเคนเคยบ่นอยากจะไปนี่...พี่คนนั้นบอก<br /><br />เพื่อนรุ่นพี่คนนี้ไปเที่ยวเซาว์น่าเป็นประจำ เคนเลยน่าจะมีเพื่อนร่วมทางฝีมือดี เขาคงได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เช่นเซาว์น่าบางแห่งให้นุ่งผ้าขนหนูผืนใหญ่ บางแห่งให้นุ่งผืนบางๆ บางแห่งจัดคืนวันพิเศษ นุ่งผ้าเตี่ยว บางแห่งให้นุ่งกางเกงชั้นในรูปแบบไหนก็ได้ แต่บางแห่งก็ห้ามนุ่งกางเกงชั้นในที่เป็นบ๊อกเซอร์-นัยว่า มันดูไม่สวย <br /><br />ที่สุดของที่สุดบางแห่ง ไม่ให้นุ่งอะไรเลยในค่ำคืนเฉพาะที่เขาจัดขึ้น นั่นหมายความว่า แขกที่ไป ต้องเป็นชีเปลือยตั้งแต่ห้องล็อกเกอร์เป็นต้นไป ตลอดคืน! เขาเล่า <br /><br />ความจริง หากจะบอกว่า ‘ผมเล่า’ ส่วนข้างบนนี้ก็ได้ แต่ให้เคนเขาเป็นคนเล่าจะดีกว่า เดี๋ยวท่านผู้อ่านจะคิดไปว่า ผมเป็นกูรูเรื่องเซาว์น่า ซึ่งไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด<br /><br />ในค่ำคืนที่เขาไปนั้น พี่ชายคนนั้นพา “ละอ่อนน้อย” ไปเซาว์น่าที่ระบุให้แขกใส่กางเกงในเดินไปเดินมา ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ก็มีให้เหมือนกัน แต่จะอยู่ตรงหน้าห้องอาบน้ำ เคนพบว่า บางคนก็นุ่งบ๊อกเซอร์ เขารู้สึกว่า คนใส่บ๊อกเซอร์กำลังบอกอะไรบางอย่าง อย่างเช่น ‘ผมยังอายๆ อยู่น่ะครับ’ <br /><br />“แล้วเราไม่อายเหรอ ใส่กุงเกงลิงตัวเดียว เดินไปเดินมาอยู่ในนั้น” ผมซัก <br /><br />เขาบอกว่า “ก็ใครๆ เขาก็ใส่กัน ผมจะไปอายทำไม”<br /><br />เขาเล่าต่อว่า สิ่งแรกที่เขารู้สึกได้ไม่ใช่เรื่องกางเกงในตัวเดียว แต่เป็นเรื่องการตกแต่งสถานที่ และบรรยากาศรวมๆ “ไม่คิดว่า เซาว์น่าจะเป็นอย่างนี้ ได้ยินเขาบอกว่า เป็นห้องมืดๆ แต่ไม่คิดว่าจะมีห้องอื่นๆ มีที่นั่งเล่น ที่กินข้าวอะไรอย่างนี้”<br /><br />เขาบอกว่า ตอนที่เขาไปถึงก็เป็นเวลาสักสามทุ่ม เท่าที่สังเกต คนยังไม่มากมายนัก ส่วนใหญ่จะอายุราวยี่สิบต้นๆ หรือไม่ก็ยี่สิบปลายๆ มีบ้างที่อายุสามสิบกว่าๆ และมีทั้งคนหน้าตาธรรมดา หน้าตาไม่หล่อเลย และหน้าตาอย่างหล่อลาก “มันหลากหลายมากเลยพี่ มีสเปคผมด้วยล่ะ”<br /><br />ผมไม่ได้ถามเขาหรอกว่า สเปคเขาเป็นยังไง กลัวเขาสาธยายยาว <br /><br />“แล้วเราคิดว่า ไปเซาว์น่า จะต้องไปมีอะไรกับใครหรือเปล่า” ผมถาม เขาบอกว่า “แรกๆ เลยก็รู้สึกว่า อยากไปสังเกตดู ผมชอบไปดูพฤติกรรมคนน่ะ ดูเขาไปจับคู่ หรือจูงมือเข้าห้องกันยังไง ไปพูดจากันยังไง ก็อยากจะรู้ ก็ต้องไปดู”<br /><br />ครั้งแรกของเคนในค่ำคืนแสงสลัวนั้น เขาพบว่า พื้นที่ของชั้นๆ หนึ่ง ถูกแบ่งซอยออกเป็นห้องส่วนตัวเล็กบ้าง ใหญ่บ้างหลายห้อง เขาพบผู้คนเดินกันไปมาในที่แคบๆ นั้น หน้าห้อง ทุกๆ คนเหมือนมองหาอะไรกันอยู่ บางคนก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ หลังพิงกำแพง แต่สายตาคอยสอดส่องเมียงมองไม่วางตา<br /><br />“ผมไม่ชอบยืนอยู่เฉยๆ หรอกครับ ผมรู้สึกอยากจะเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ มีคนเข้ามาหาเหมือนกัน เขาจะมองหน้าก่อน บางคนก็ไม่เห็นว่ามองหน้าผม แต่ก็คว้ามือผมไว้เลย จับข้อมือผมเบาๆ ผมก็จะมองหน้าเขา ก็ด้วยไฟสลัวๆ นั่นแหละ ถ้าถูกใจ ผมคงยอมไปกับเขา” เคนเล่า <br /><br />เขาบอกอีกว่า หลังจากเดินอยู่พักหนึ่งก็เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า พฤติกรรมคนในบริเวณนั้น เขาสื่อสารกันอย่างไร และเมื่อทำอะไรแบบไหนแล้ว จะเป็นที่ “เข้าใจกัน”<br /><br />เคนคิดว่า คนที่ยืนหลังพิงกำแพงอยู่ กำลังบอกใครๆ ว่า “ผมเป็นฝ่ายรับ” หรือเปล่า? ผมลองถามเขา<br /><br />เคนบอกว่า เรื่องนี้บอกไม่ได้ แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ชอบจะไปเข้าหาใครก่อนเพราะ “ผมกลัวโดนคนปฏิเสธ ซึ่งจะทำให้ผมรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเกิดถูกใจจริงๆ ผมอาจจะเป็นฝ่ายเข้าไปหาก่อนก็ได้”<br /><br />คงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเกิดถูกใจ ก็จะมีการเดินตามหลังคนนั้นเพื่อจะไปหาทางทำความรู้จักให้ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ในนั้น นอกจากความพอใจซึ่งกันและกัน <br /><br />แล้วถ้ามีคนมาเข้าหา แล้วเราไม่สนใจล่ะ? เคนบอกว่า หลังจากเดินอยู่หลายชั่วโมง จนเขาสังเกตจากคนอื่น และเรียนรู้ที่จะสื่อสัญญาณกับคนอื่นๆ ที่เข้ามาหา แต่ถ้าเขาไม่ชอบ เขาก็จับมือของคนๆ นั้นให้พ้นออกไปจากตัวเขา หรือถ้ายังมองหน้าอยู่ ก็ส่ายหน้าเบาๆ พอให้รู้กันว่า ไม่ปิ๊งนะ “แล้วผมก็เดินต่อไป ไม่แสดงความรู้สึกไม่ดีอะไรออกมา”<br /><br />ด้วยหน้าตา และรูปร่างของหนุ่มน้อยคนนี้ ผมเดาเอาว่า เขาคงฮ็อตไม่น้อย แต่เคนก็บอกว่า เขาก็ต้องรู้จักเลือกเหมือนกัน <br /><br />“ก็มีนะพี่ บางคนที่ผมกับเขาจูงมือกันไปห้องส่วนตัว พอดูที่สว่างๆ แล้ว มันไม่ใช่อ้ะ ผมก็ต้องขอตัวล่ะ” <br /><br />นายเคนคงสายตาไม่ค่อยดี ถึงไม่ได้ดูให้ถ้วนถี่ หรือไฟตรงนั้นมันสลัวมัวมืดเกินไป หรือเป็นเพราะว่า ใจของเขาเองที่สลัวเกินไป บางครั้งก็มัว อาจคิดอะไรไม่ทันเพราะหน้ามืด?<br /><br />แต่เอาเถอะ... เขาเฉลยว่า บางที่ บางมุม ให้เบิ่งตายังไงก็มองอะไรไม่เห็น บางทีก็เห็นใบหน้าเพียงมุมเดียว ไม่ได้เห็นชัดๆ ยิ่งห้องมืดตื้อของชั้นๆ หนึ่ง ในนั้นที่เขาแวะไปดู เขาบอกว่า มองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากได้ยินเสียงลมหายใจอย่างสุขสม “แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงดังครืดคราดกันน่ะครับ เพราะตรงนั้นก็คงมีคนอื่นๆ ด้วยหลายๆ คน”<br /><br />แล้วถุงยางล่ะ วันนั้นเรามีไว้หรือเปล่า? ผมลองถามดู ซึ่งตามปกติ ในเซาว์น่าจะมีถุงยางไว้คอยแจกให้อยู่แล้ว (เจลหล่อลื่นมีให้เป็นขวด ในห้องส่วนตัว) ก่อนหน้านี้ ในเมืองไทย เคยมีถุงยางแจกไว้ในล็อกเกอร์ แต่ตำรวจท่านไม่ปลื้ม เพราะถือว่า มีการส่งเสริมการค้าประเวณี เพิ่งจะประมาณเดือนตุลาคมปี 2006 นี้เอง ที่อนุญาตให้สถานบริการ และสถานที่สาธารณะบางแห่ง มีตู้ขายถุงยางได้ <br /><br />ในช่วงที่มีข่าวจัดระเบียบสังคม และมีข่าวตำรวจบุกเซาว์น่าบ่อยๆ พร้อมเนื้อหาที่นำเสนออกมาว่า มีถุงยางอนามัยเกลื่อนกลาด ผมกลับคิดว่า ดีเสียอีก ที่ไปมีอะไรกับใครแล้วรู้จักป้องกัน ในบางครั้ง เซาว์น่าก็ถูกมองว่า จะช่วยให้การจัดการปัญหาเรื่องเอชไอวี ได้ง่าย เพราะรู้ว่า พวกเขาไปทำอะไรกันที่ไหน ดีกว่าต้องไปตามหากันในสวนหรือที่อื่นใดที่สร้างความยากลำบากกว่า ขณะเดียวกัน เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เซาว์น่าทำให้คนมาพบกันได้ และมีเซ็กซ์กันได้ <br /><br />โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ถ้าไม่มีเซาว์น่า คนเราก็ยังมีเซ็กซ์กันอยู่ดี มันน่าจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงมากกว่าว่า เราจะเสี่ยงหรือไม่ เรารู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมทางเพศแบบไหนนำไปสู่ความเสี่ยง? <br /><br />คุณผู้อ่านอาจคิดเห็นต่างกัน อีเมลมาได้นะครับ (ผมเดาว่า ไม่ช้าไม่นานนี้ ผมคงได้อีเมล มาถามว่า ไปที่ไหนดีพี่-แหงๆ) <br /><br />สำหรับเรื่องถุงยาง เคนบอกว่า เขาแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เขาได้รับแจกถุงยางขนาด 52 มม. ซึ่งค่อนข้างจะใหญ่ ที่เขารู้มา คนไทยส่วนใหญ่จะใช้ขนาด 49 มม.<br /><br />ผมถามต่อในเรื่องอื่นๆ ว่า จากครั้งแรกที่ไป เขารู้สึกอยากจะไปอีกไหม? “ก็อยากไปนะครับ ผมก็ไปอีกสองสามครั้ง แต่ผมคงไม่ได้เป็นขาประจำเซาว์น่า เวลาผมไม่มีอะไรทำ ผมไม่ได้คิดถึงเซาว์น่า และอยากจะไป มันไม่ใช่ประเด็นของผม ผมว่า ผมจะไป ถ้าผมเหงาๆ และก็มีความอยาก”<br /><br />ก่อนจะจบการสนทนาในวันนั้น ผมอดอยากรู้อยากเห็นอะไรบางอย่างไม่ได้ <br /><br />“ตกลงวันแรกที่ไปวันนั้น เราได้กี่ ‘ไม้ล่ะ’?” <br /><br />เคนนิ่งไปพักหนึ่ง เหมือนไม่อยากจะพูดถึง “ก็สองครับ แต่ผมไม่ยอมมีอะไรกับใคร ‘ภายใน’ นะ ผมไม่ค่อยไว้ใจ ทำแค่ภายนอกได้ ผมโอเค แต่ พี่ห้ามถามรายละเอียดต่อนะครับว่า ผมทำอะไรบ้าง...”<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> อัลบั้มรวมดาวแดนซ์โดยนักร้องสาวสวยประเภทสอง Venus Flytrap ออกวางแผงแล้ว จากค่าย Sony BMG<br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1166329939120299142006-12-17T11:26:00.000+07:002006-12-17T11:33:28.833+07:00Miss AC/DC มงกุฎนี้ต้องมีกึ๋น!<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/792943/miss_winner.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/863888/miss_winner.jpg" border="0" alt="" /></a><br /><a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/65823/stage.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/613996/stage.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />16-17 Dec 2006<br /><br /><strong>มิสตุรกีขี่พรมมา มิสแคนาดาเป่าแคน มิสไทยแลนด์แต่งแก้วหน้าม้า มิสเคนยาเปลือยอกโชว์ มิสสิงคโปร์โอ่ตึกสำนักงาน มิสฟรานซ์ซ่อนอยู่ในกรอบรูปเจาะรู มิสยูเอสเอโชว์ปอมปอมเชียร์ มิสอินโดนีเซียเป็นหุ่นเชิดโงนเงน ส่วนมิสสเปน...เป็น...แมลงวัน...</strong><br /><br />ให้มาอีกหน้ากระดาษ ก็คงไม่พอสาธยายล่ะครับท่านผู้อ่านกับการประกวดสุดตะลึงพรึงเพริศจากผู้เข้าประกวดเพื่อการล้อเลียนการประกวดนางงามด้วยความสร้างสรรค์ ด้วยปีนี้มีตัวแทนจากห้าสิบประเทศที่ต่างคนต่างแข่งกันสวย “เลิศกาม งามปัญญาฉาย พลีกายสร้างสรรค์” ในงาน Miss AC/DC Pageant 2006 ที่บีอีซีเทโร ฮอลล์ วันอาทิตย์ที่ 10 ธ.ค.<br /><br />Miss AC/DC หรือ Miss Alternative Creature's Devoted Creation (แปลไทยก็คือคำในเครื่องหมายคำพูด จากย่อหน้าข้างบนนั่นแหละ) เขาจัดอย่างเป็นทางการมาเป็นปีที่หกแล้วล่ะครับ <br /><br />เริ่มจากงานวันเกิดในหมู่เพื่อนฝูงคนสนิทขยายใหญ่โตเป็นงานรื่นเริงประจำปี จากโรงแรมเล็กๆ ย้ายไปโรงแรมย่อมๆ จนล้นโรงแรมขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนคนดูที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี อีกหน่อย...ไม่พ้นอิมแพคเมืองทองธานี<br /><br />คนทั่วไปที่ยังไม่เคยดู เห็นภาพแล้วคงคิดว่า เป็นงาน “บ้าบอคอแตก” ก็เห็นแต่งตัวหลุดโลกแปลงเป็นหญิงแล้วมาทำตลกขบขันปานนั้น ตรงนี้ไม่ว่ากัน เพราะท่านยังไม่เคยไปดู งั้นให้ผมพาไปเที่ยวต่อละกัน<br /><br />งาน Miss AC/DC ซึ่งเป็นงานประจำก่อนจะสิ้นปี จะมีผู้เข้าประกวด (ทั้งเกย์ สาวประเภทสอง และกระทั่งผู้ชายทั่วไปแต่รักการแต่งหญิง) กรรมการ คนจัดงาน และผู้ชม ตั้งใจชมกันมากๆ เพราะในงาน นอกจากความ “บ้าบอคอแตก” อันเลอค่าที่เค้นมาจากความคิดสร้างสรรค์ล้วนๆ ของผู้เข้าประกวดแล้ว ผู้จัดงานยังต้องการสื่อสารเรื่องสิทธิมนุษยชน ปัญหาสังคมในปัจจุบัน และปลุกจิตสำนึกร่วมกันในการประพฤติตนด้วยสติ <br /><br />ปีนี้ผู้จัดใช้ธีมของงานว่า “The True Slavery” หรือ “ทาสแท้” แล้วตั้งคำถามว่า คนเราตกเป็นทาสอะไรบ้าง? เลยไม่สงสัยเลยละครับ ถ้ามองฉากหลังสีขาวบนเวทีแล้ว ผู้ชมจะเห็นเป็นลูกกรงซี่ๆ เหมือนคุก ส่วนปีที่แล้ว ฉากประจำงานได้รับการออกแบบเป็นรูปหัวใจ เพราะใช้ชื่อธีมว่า “หนี้รัก”<br /><br />ผู้เข้าประกวดต้องเสียเงินค่าประกวดเอง ร่วมทั้งต้องควักจ่ายให้ผู้ติดตาม และทีมงานทุกคนที่นำมาประกอบการแสดงส่วนตัว หรือกระทั่งแค่คนมาช่วยถือชายกระโปรงให้ผู้ประกวด ก็ต้องเสียเงินซื้อบัตรให้ด้วย ผู้ชนะทั้งหมด ไม่ว่าจากตำแหน่งอะไรที่มอบให้ในค่ำคืนนั้น ไม่มีเงินรางวัลให้ คงมีแต่ “ความภาคภูมิใจและกุศลบุญ” ผู้จัดว่างั้น<br /><br />เรื่องเวที เพลง โชว์ แสง สี ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะลงทุนกันเต็มที่ คนนั่งหลังสุดก็เห็นเวทีได้ถนัดชัดตา เพราะมีจอโปรเจคเตอร์ใหญ่ยักษ์ถึงสี่จุด ครอบคลุมทั้งบริเวณงาน ซื้อบัตรแล้ว ผ่านประตูเข้ามา ทางด้านใน มีอาหารเลี้ยงต่อให้อิ่มหนำกัน อร่อยๆ ทั้งนั้น <br /><br />งานนี้ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะเป็นมนุษย์สีรุ้งแทบทั้งนั้น แทบทุกทุกที่นั่ง ผมสังเกตเห็นผู้หญิงอยู่เหมือนกันนะครับ สัก 10-20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใครเป็นผู้ชายนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่คุมเวทีแล้ว ที่เหลือ...ดูไม่ค่อยออก<br /><br />ลำดับขั้นตอนการจัดงานก็ถอดมาจากการประกวดมิสยูนิเวิรส์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งในปีนี้ มีผู้เข้าประกวดร่วมกันล้อเลียน 50 ประเทศ รวมทั้งมีผู้เข้าประกวดที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นนางงามจากประเทศไทย <br /><br />ที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งคือนางงามตัวแทนจากสิงคโปร์ ซึ่งผู้เข้าประกวดพูดภาษาไทยไม่ได้ เข้าใจว่า เป็นลูกครึ่งสิงคโปร์ผสมญี่ปุ่น ข่าวแว่วว่า เขาเป็นผู้ชาย มิใช่เกย์ บนเวทีผู้เข้าประกวดท่านนี้จึงถือโอกาสสร้างคะแนนความน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีก เมื่อ “เธอ” พาล่ามภาษาญี่ปุ่นสุดหล่อมายืนเกาะกุมเคียงข้าง ทำเอากรรมการกรี๊ดเสียงดังพอๆ กับผู้ชม<br /><br />กิจกรรมและงานต่างๆ บนเวทีกินเวลายาวเหยียดจนผู้ชมเริ่มเห็นใจพิธีกรสองสาว “คุณพี่แพซซี่ และคุณพี่ปุ๋ย” จากที่เคยคึกคักในช่วงแรก ก็เริ่มโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด ประตูเปิดหกโมงเย็น งานบนเวทีเริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม แล้วก็ลากยาวมาเสร็จราวเที่ยงคืนครึ่ง ผมก็อยู่รอจนจบล่ะครับ เพราะอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในปีนี้ เหนื่อยแทนคนจัดจริงๆ <br /><br />จากห้าสิบคนเหลือสิบคน และเหลือห้าคนสุดท้าย พวก “หล่อน” พาตัวเองผ่านคำถามที่ผู้ชมต่างพากันทึ่งที่ผู้จัดคำถามไม่มีความปรานีผู้เข้าประกวดเลย <br /><br />ตัวอย่างเช่น...(คำถามประมาณว่า).....<strong>อะไรคือปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค?</strong>(ถามมิสไชนีส ไทเป), <strong>ขณะที่โลกถูกครอบงำด้วยการโฆษณาให้คนโหยหาความเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วคุณจะมองความแก่อย่างไร?</strong> (ถามมิสสิงคโปร์) <br /><br />มีเด็ดอีกคำถามหนึ่งคับ สำหรับมิสเจแปน...เธอโดนว่า ช่วยอธิบายความหมายของคำว่า <strong>เผด็จการทหารและความรู้รอบเตียงหน่อย?</strong> <br /><br />ส่วนนางงามผิวหมึกที่ประกาศตนว่ามาจากประเทศยากจนและเป็นประเทศที่มีชื่อจำยากประเทศหนึ่ง “บูรีน่า ฟาโซ (Burina Faso) จับได้คำถามที่เหมาะกับเธอมากๆ คำถามราวๆ ว่า คุณจะจัดการกับลัทธิบริโภคนิยมได้อย่างไร (แถมพิธีกร ยังดักคออีกด้วยว่า ห้ามตอบว่า เศรษฐกิจพอเพียง...) ในช่วงสัมภาษณ์นี้ ดูความยากจนที่เธอว่าแล้ว คงขัดๆ กับชุดทองคำทั้งตัวที่เธอใส่มา<br /><br />ทุกนางงามดูเหมือนเอาตัวรอดไปได้ดี แต่มีนางงามคนหนึ่งที่ไม่เพียงแต่เอาตัวรอดจากคำถามสุดหินแล้ว เธอยังตีตื้นทำคะแนนด้วยการ “แย่งซีน” ทุกๆ คนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ ไม่เว้นพิธีกร <br /><br />พอโดนคำถามที่ว่า “จงตั้งคำถามที่ยากที่สุดหนึ่งคำถาม” เธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะตั้งว่า “คืนนี้ ออสกี้...จะได้เป็นนางงามหรือเปล่า?” ฟังดูไม่ค่อยฉลาด แต่แล้วหล่อนก็ตบตูดด้วยท่าทางคิกขุ เขินอาย เรียกคะแนนความน่ารัก พร้อมเฉลยให้ผู้ชมทราบว่า ที่เธอมีอากัปกิริยาดั่งเด็กวัยรุ่นปานนั้นน่ะ เพราะเธอยังไม่ครบสิบแปดเลย คือออสกี้ เป็นนางงามวัยรุ่นสหรัฐน่ะ แล้วผู้ชมก็ฮาตรึม <br /><br />ฉับพลันเธอก็เข้าควบคุมเวทีด้วยการลากเรื่องราวผูกโยงประวัติส่วนตัวของเธอ พร้อมอุปโลกน์ว่า เธอมี “อาม่า” อยู่คนหนึ่ง ซึ่งคล้ายๆ กับพี่พิธีกรที่ยืนอยู่ข้างๆ เนี๊ยะ ว่าแล้ว เธอก็ตรงเข้าสวมกอด “อาม่า” ทำท่าซบ ขยายเวลาบนเวทีของเธอซะเลย เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว<br /><br />จบจากคำถามรอบสิบคน บรรดาผู้ได้เข้ารอบต้องเตรียมการแสดงความสามารถพิเศษ นางงามแคระจากญี่ปุ่น (บนเว็บของกองประกวดแจ้งว่า ปีที่แล้ว เธอรับบทเป็นมิสออสเตรเลีย) ก็เผยกายในชุดเหลือง นักฆ่าสาวอูม่า เธอร์แมน (ขนาดย่อม) จากหนังดังเรื่อง Kill Bill เธอเข้าฟาดฟันศัตรูจนล้มตายไปหมด (พิธีกรเห็นลีลาเธอแล้ว อดไม่ได้ที่จะเรียกเธอว่า อูม่า เธอ-สั้น) ก่อนหน้านี้ หล่อนเลือกชุดหนูน้อยอาราเล่ย์ ถีบจักรยานกระเดิบๆ เข้ามาบนเวที สำหรับชุดเปิดตัวของเธอ<br /><br />มิสสิงคโปร์ คงเป็นนักกีฬายิมนาสติกมาก่อน จากชุดการแสดงที่พิธีกรแซวว่า “ผัวข้าใครอย่าแตะ” เธอสามารถตีลังกากลับหน้ากลับหลังอย่างมืออาชีพขณะต่อสู้กับผู้ร้าย <br /><br />ขณะเดียวกัน ในช่วงแสดงความสามารถพิเศษ นางงามตัวแทนจากแดนสยาม มิส “แก้วหน้าม้า” (ปีที่ผ่านมา เป็นมิสรัสเซีย) ออกมาร่ายรำมีดพร้าพร้อมสาธิตการทำม้าก้านกล้วยอย่างถนัด แล้วนำไปขี่เล่นไปมารอบเวที <br /><br />ส่วนมิสอินโดนีเซียคนเก่ง ยังคงนำเอาศิลปะการเชิดหุ่น โดยมีผู้ชายถอดเสื้อเชิดตัวเธอไปมา เรียกคะแนนได้อย่างสมใจ<br /><br />มิสคนอื่นๆ ก็แสดงการเริงระบำประจำชาติอย่างโดดเด่น เสียดายตรงมิสลาวล่ะครับ (อดีต เป็นมิสฟิจิในการประกวดปีที่ผ่านมา) เธอสวย หุ่นดี มองดูคล้ายปารีส ฮิลตันผสมกับคริสติน่า อากีเลอร่า ยังไงยังงั้น<br /><br />มิสลาวนำเสนอการแสดงสื่อผสมบนเวทีกับมิวสิควิดีโอบนโปรเจคเตอร์ แต่ผมคิดว่า ถ้าได้เติมพลังความสร้างสรรค์อีกนิด คงจะดี ถ้าเธอสามารถทำตัวหนังสือคาราโอเกะวิ่งไปวิ่งมาบนจอวีทีอาร์ที่ฉายประกอบการแสดง...แล้วให้คนดูร้องเพลงนั้นตามเธอ คงเรียกคะแนนไม่น้อย อีกอย่างเธอมีสุ้มเสียงใช่ย่อยซะเมื่อไหร่<br /><br />และแล้วมิสออสกี้-นางงามวัยรุ่นสหรัฐจากแคลิฟอร์เนีย (ไม่ใช่แคลิฟอร์เนีย ว้าว-เธอประกาศ) ก็นำเอาความสามารถพิเศษของเธอคือ ปอมปอมเชียร์ มาโชว์ เธอมาพร้อมหนุ่มๆ ตัวโตๆ กระโดดโลดเต้น เรียกเสียงเชียร์ตลอดสองนาทีที่กำหนด หลังจากให้หนุ่มๆ ยกตัวเธอขึ้นยืนตั้งตรงบนอากาศแล้ว เธอก็แสดงน้ำใจสลับตัวเองลงพื้น แล้วยกหนุ่มคนหนึ่งด้วยแขนสองข้างขึ้นไปเหนือศีรษะเธออย่างแข็งแรงและบึกบึนและเหลือเชื่อ! <br /><br />ชื่อของเธอ “ออสกี้” คงมาจากรูปพรรณสัณฐานกลมอ้วนของเธอ หรือดูๆ ไปก็คล้ายปลาวาฬขนาดเล็ก<br /><br />รอบห้าคนสุดท้ายเพื่อตัดเชือกว่า ใครจะเป็น Miss AC/DC 2006 มิสออสกี้ก็ฉลาดล้ำอีกคร้ง โดดเด่นเหนือใคร <br /><br />คำถามสำหรับผู้เข้าประกวดทุกคนคือ <strong>“จงปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้เป็นไท ด้วยคำแนะนำสามข้อ”</strong> เพียงคำตอบแรก ก็เรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมได้แล้ว เธอบอกง่ายๆ สั้นๆ ว่า ให้รู้จัก ลด-ละ-เลิก ยังไงล่ะคะ <br />แล้วม้ามืดจากยูเอสเอก็เป็นผู้คว้ามงกุฎไปในปีนี้อย่างไร้ข้อกังขา <br /><br />ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากมายนะครับ กว่าจะจบรายการ หัวเราะจนปวดท้องล่ะครับ ปีหน้า ถ้าไม่ติดธุระอันใด ผมคงมารายงานต่อ ติดตามรายละเอียดอื่นๆ ได้ที่ <a href="http://www.missacdc.com">http://www.missacdc.com</a><br /><br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1165715246243230442006-12-10T08:42:00.000+07:002006-12-10T08:50:00.546+07:00ผู้ชายที่ 007 เคยจูบ<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/529888/daniel3.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/983003/daniel3.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 9-10 Dec 2006<br /><br /><strong>เป็นข่าวตื่นเต้นทั่วโลกไม่เบา เมื่อบอนด์คนล่าสุด หนุ่มหน้ายับ “คุณแดเนียล เครก” ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ในหนัง 007 ภาคต่อไป น่าจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายอยู่ด้วยจะได้เอาใจแฟนๆ ชาวสีรุ้ง เพราะรู้ว่า ในภาคล่าสุด Casino Royale มีเหล่าเกย์ให้ความชื่นชอบอยู่ไม่น้อย!</strong><br /><br />ความจริงผมไม่ได้เป็นแฟนซีรี่ย์เจมส์บอนด์เท่าไหร่หรอกครับ เพราะแต่ละภาคที่ผ่านมาดูเหมือนคุณบอนด์จะดูเลิศเลอเพอร์เฟ็คราวเทพเจ้า และด้วยเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งความหล่อ ยามที่บอนด์ตกอยู่ในสภาวะคับขัน เขาก็สามารถ “ขันคู” เอาตัวรอดมาได้ซะทุกครั้ง<br /><br />บอนด์ในภาคเก่าๆ ดูเหมือนจะใช้ผู้หญิงเป็นบันไดอยู่ตลอด อีกนัยหนึ่ง เหมือนนั่งดูหนังกดขี่ทางเพศอยู่ในที<br /><br />แต่ในภาคใหม่ บอนด์คนนี้มีอะไรมากมายที่ไม่เหมือนบอนด์คนที่ผ่านมา เราเลยได้รู้ว่า นักแสดงที่รับบทบอนด์ “คุณแดเนียล” นี่ก็ใช่ย่อย เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อังกฤษ The Daily Mirror อย่างถึงพริกถึงขิงเมื่อเร็วๆ นี้ว่า <br /><br />“ยุคสมัยนี้ เรามักจะตั้งความหวังว่า ดารานักแสดงผู้หญิงจะต้องเปลื้องผ้า แล้วทำไมดารานักแสดงผู้ชายจะทำไม่ได้ล่ะ? ผมเลยบอกบรรดาเจ้านายผู้ใหญ่ทั้งหลายไปว่า ผมพร้อมที่จะแก้ผ้าล่อนจ้อนทางด้านหน้าต่อหน้ากล้อง ผมไม่อายหรอก แล้วผมก็คิดว่า บอนด์ก็ไม่น่าจะอายเหมือนกัน”<br /><br />ถ้าคุณได้ดูภาคล่าสุดของบอนด์ ในฉากที่เขาโดนทรมาน โดนจับเปลื้องผ้า โดนมัดมือ มัดเท้า ติดกับเก้าอี้ที่ไม่มีเบาะ คุณจะรู้ว่า สิ่งที่คุณแดเนียลพูดว่าอยากทำน่ะ ไม่ได้เกินความสามารถของเขาหรอก ในบอนด์ภาคใหม่เขาทำออกมาได้ดีสำหรับการแจ้งเกิดกับบทบาทของบอนด์แห่งศตวรรษใหม่<br /><br />บอนด์ยุคนี้จึงสะท้อนภาพปัจจุบันแห่งโลกยุคใหม่ที่ว่า ผู้ชายไม่จำเป็นต้องรังเกียจเกย์หรือรังแกผู้หญิงเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้ชายอีกต่อไป<br /><br />ในบอนด์ภาคใหม่ (Bond 22) เรายังไม่รู้แน่ว่า ถ้าเจมส์ บอนด์ที่มีคุณแดเนียลแสดงเป็น 007 เกิดมีบทจูบกับผู้ชาย คนดูจะว่ายังไง?<br /><br />ผมคิดว่าแดเนียลเขาไม่สนหรอกว่า คนดูจะว่ายังไง เพราะเขาเป็นนักแสดง และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา หรือคำสบประมาทที่มีเป็นพรวนกับการมารับบทสายลับอันดับหนึ่งที่มีกรอบบางอย่างตีเอาไว้<br /><br />ก่อนหน้านี้ เขาสะสมเครดิตเรื่องบทจูบและเรื่องขึ้นเตียงกับผู้ชายมาแล้วหลายเรื่องครับ จนชินละมั้ง ผมว่า..คุณผู้อ่านที่รักหนัง พออ่านบทความนี้จบลงแล้ว อาจจะอยากตามล่าหาหนังของเขามาดูให้ครบๆ ถ้าได้ดูเรื่องไหนแล้ว อีเมลมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ <br /><br />เรื่องหนึ่งที่น่าดู <br /><br />คุณแดเนียลขึ้นเตียงกับคุณ Derek Jacobi ใน <strong>“Love is the Devil” (1998)</strong> เรื่องนี้เป็นอัตชีวประวัติของฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) จิตรกรเอกของโลก แน่นอนล่ะ ตอนนี้คุณอาจอุทานว่า ฟรานซิส เป็นเกย์เหรอ ก็สมควรอยู่ เพราะตอนเรียนหนังสือ คุณไม่มีวันเรียนรู้เรื่องนี้จากโรงเรียนหรอก<br /><br />ในเรื่อง วันหนึ่งคุณฟรานซิสโดนนักย่องเบากระจอกชื่อจอร์จ ดราเออร์ (George Dryer) บุกบ้าน แทนที่จะตกใจกลัว คุณฟรานซิสกลับเชื้อเชิญให้มาเสวนาและร่วมเตียงกัน แล้วถ้าอยากจะปล้นอีกก็เชิญจ๊ะ แต่เรื่องกลับตาลปัตร โจรกระจอกซึ่งรับบทโดยแดเนียล เครกกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจศิลปินรุ่นคุณพ่อ ทั้งยังยอมเป็นแบบให้เขาวาดภาพ ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเกือบสิบปี<br /><br />ในเรื่องนี้คุณจะได้เห็นชีวิตด้านมืดของของฟรานซิส เบคอน ทั้งความเจ้าชู้ และความหลงใหลในกามาแบบชอบความเจ็บปวด<br /><br />คุณแดเนียลคงคิดว่า เรื่องนั้นยังแรงไม่พอ<br /><br />ช่วงเดือนสิงหา-กันยาที่ผ่านมานี้เอง ก่อนหนังเจมส์บอนด์ภาคใหม่จะเข้าโรง มีหนังเรื่องหนึ่งของเขาเปิดรอบปฐมทัศน์ที่ Venice Film Festival จนเป็นข่าวใหญ่โต <br /><br />ในเรื่อง <strong>“Infamous”</strong> เขารับบทชีวิตจริงของฆาตกรชื่อ เพอร์รี่ สมิธ (Perry Smith) ที่ นักประพันธ์ทรูแมน คาโพตี (Truman Capote) เอาเรื่องราวของเขามาเขียนเป็นนิยายขายดีชื่อ In Cold Blood<br /><br />คุณผู้อ่านอาจจะจำเรื่อง Capote ที่ฉายไปแล้วในเมืองไทยได้ เรื่องนี้ ที่คุณฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน (Philip Seymour Hoffman) หนุ่มห้าวต้องทำเสียงเล็กเสียงน้อยให้สมบทบาทที่ได้รับ แต่ในเรื่อง Infamous ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ คุณโทบี้ โจนส์ (Toby Jones) รับบทนักเขียนเลือดเย็น <br /><br />ในเรื่องนี้คุณโทบี้ให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้จูบกะเจมส์ บอนด์” <br /><br />ยังไม่หมดครับ ก่อนหน้านี้มีหนังอีกเรื่อง น่าดูเช่นกัน <strong>“Enduring Love” (2004)</strong> เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อคุณแดเนียลไปปิกนิคกับแฟนสาว แล้วอยู่ๆ บอลลูนที่บรรทุกคนมาด้วยก็หล่นปุ๊ลงมา มีหนุ่มผมยาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยเขา เพื่อช่วยชีวิตคนในบอลลูน แต่ไปๆ มาๆ ไอ้หนุ่มผมยาวกลับสร้างความสยองเกล้าให้กับคุณแดเนียลกับแฟนแทนด้วยความรู้สึกหลงใหลแดเนียลสุดชีวิต<br /><br />ในเรื่องนี้หมัดเด็ดอยู่ที่ฉากแดเนียลยอมจูบกับไอ้หนุ่มผมยาวอย่างดูดดื่ม นักแสดงที่รับบทได้หนุ่มผมยาวอ้างว่า ตอนเล่นบทนี้กับแดเนียล เขาโดนจูบด้วยลิ้นด้วย! แต่แดเนียลปฏิเสธว่า ไม่ได้จูบขนาดนั้น <br /><br />ก็พิสูจน์กันเอาเองนะครับ อ้อ...เรื่องนี้คุณแดเนียลโชว์หุ่นฟิตๆ ของเขาในกางเกงว่ายน้ำอีกต่างหาก เซ็กซี่พอๆ กับ Casino Royale ฉากชายหาด<br /><br />นอกจากนี้ นักแสดงหนุ่มใหญ่วัย 38 ยังเคยรับบทเกย์บนละครเวทีของอังกฤษอีกด้วยนะครับในเรื่อง <strong>Angels in America</strong> ละครเวทีรางวัลพูลิตเซอร์เรื่องนี้ว่าด้วย ความหวัง ความฝัน ของผู้พ่ายแพ้ ผู้ที่ต่อสู้กับโรคเอดส์ และสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ สถานีเคเบิล HBO ของอเมริกา เอาไปทำหนังเมื่อเร็วๆ นี้ที่คุณเมอร์ริลล์ สตรีฟ (ขวัญใจผม) รับบทเป็น Rabbi มีหนวดเครายาวรุงรังนั่นแหละ<br /><br />ผมคิดว่า เหล่าชาวสีรุ้งที่ชื่นชอบคุณแดเนียล มีเหตุผลหลายอย่างอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่ว่าเขาฮ๊อตอย่างเดียว<br /><br />ความจริงเลย เขาไม่ใช่คนไม่หล่อ แต่เขาเป็นคน “หล่อบางมุม” ตอนผมไปดูหนังเรื่องนี้ มีหนุ่มสองคน ท่าทางห้าวๆ นั่งอยู่ข้างหลัง พอดูไปได้พักหนึ่ง คนหนึ่งก็โพล่งออกมาเสียงดังเชียวว่า “บอนด์อะไรว่ะ ไม่หล่อเลย” <br /><br />แต่ผมเชื่อว่า พอดูๆ ไป คุณจะพบเสน่ห์บางอย่างของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ยี่หระต่อคำวิจารณ์แรงๆ ของบรรดานักวิจารณ์และชาวเว็บที่ค่อนขอดเขาตั้งแต่...บอนด์อะไรวะ ตัวก็เตี้ย ผมบลอนด์ แถมไม่หล่ออีกต่างหาก <br /><br />แต่พอหนังเรื่องเจมส์ บอนด์ปรากฏสู่สายตาแล้ว เขาสามารถลบคำสบประมาทของหลายๆ คน และคนที่เคยวิจารณ์เขาแรงๆ ก็ออกมาขอโทษขอโพยกันใหญ่ <br /><br /><blockquote>ผมว่า สิ่งนี้แหละที่โดนใจชาวสีรุ้ง ความแหกคอก และไม่ยอมแพ้ต่อคำสบประมาทและดูแคลนของสังคมกระแสหลักนี่แหละคือเสน่ห์ของเขา</blockquote><br />หากคุณๆ ผู้อ่านที่เป็นชายรักหญิง หญิงรักชายทั่วไป ยังคงติดกับของ Stereotypes หรือเปลือกนอกอยู่ คุณจะมองเกย์ ทอม ดี้ หรือกะเทย ในภาพลบๆ ต่อไป กระทั่ง คุณได้คบพวกเขาเป็นเพื่อน หรือได้ “รู้จัก” ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขานั่นแหละ พอคุณได้สัมผัสด้วยตัวคุณเอง พยายามเอาตัวเองหลุดพ้นจากกระแสสังคมที่มีอคติทางเพศเจือปน <br /><br /><strong>ผมเชื่อว่า คุณก็ได้รู้จักบางสิ่งดีๆ ที่คุณไม่เคยคิด...อยู่ในนั้น</strong><br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1165116062421432142006-12-03T09:58:00.000+07:002006-12-03T10:21:02.766+07:00เคล็ดลับ...พาผู้ชายเข้าบ้าน<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/159277/030618.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/680042/030618.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 2-3 Dec 2006<br /><br />“โรจน์” กับ “รุ่ง” คบกันมาสามปีกว่าๆ ทั้งสองพบกันที่ฟิตเนสแห่งหนึ่ง ไม่ได้เจอกันในห้องอบซาวน่าหรืออบไอน้ำหรอกนะครับ<br /><br />ในฐานะผู้อาวุโสกว่า และหลังจากประสานสายตากันจังๆ มาสองสามครั้งแล้ว โรจน์ก็เปิดฉากเดินเข้าไปคุยกับรุ่งก่อน <br /><br />ก่อนเขาจะเล่าต่อ ผมถามโรจน์ว่า รู้ได้ไงว่า รุ่งน่ะ “ใช่”<br /><br />“ก็พอมี ‘เกย์ดาร์’ ส่งสัญญาณออกมาอยู่บ้างล่ะครับ ผมเดินผ่านไป ผ่านมา ก็เห็นเขา เห็นนานแล้ว คืออย่างงี้ ถ้าเขาสบตาเราสักสองหรือสามครั้ง ก็ใช่แล้วล่ะ ผมก็เข้าไปทักธรรมดา เดินเข้าไปเลย ผมไม่ปล่อยโอกาสหรอก เดี๋ยวมัน ‘จะหมดเวลา’” <br /><br />วันที่เราสัมภาษณ์โรจน์ในรายการฮอตไลน์สายสีรุ้งนั้น เราได้เปิดเพลงของโฆษณามือถือ เป็นเพลงเด็กแนวเพลงหนึ่ง พอเขาฟังจบ เขาก็เลยย้ำอีกว่า คนเราอยากจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ เพราะต้อง “ระวังหมดอายุ”<br /><br />แล้วเขาก็เล่าต่อเกี่ยวกับวิธีการ “เข้าหา” ในแบบฉบับของเขา<br /><br />“ผมว่า คนที่เด็กกว่า ไม่กล้าเข้ามาทักหรอกครับ เราต้องพกความเป็นผู้ใหญ่ของเราเข้าไปก่อน และอีกอย่างคือ ต้องสุภาพจริงๆ ผมก็ชวนคุยเรื่องทั่วไป อย่าง เล่น (ฟิตเนส) มานานยัง? มากี่วันต่ออาทิตย์?”<br /><br />แรกๆ ก็ชวนไปกินข้าว ดูหนังตามเรื่อง เขาเล่า พอเริ่มสนิทกัน เขาก็พาเข้าสู่ประเด็นที่อยากรู้ที่สุด เขาบอกรุ่งในวันหนึ่ง อย่างไม่อ้อมค้อมเหมือนกลัวจะหมดอายุนั่นแหละ<br /><br />“ชอบครับ...แล้วมีแฟนหรือยัง” โรจน์รุกต่อ ส่วนน้องรุ่งก็ยังคงเฉยๆ อาการเฉยๆ ของเขาทำให้โรจน์เข้าใจว่า น่าจะโอเคนะ <br /><br />ตอนนั้นโรจน์เพิ่งหายจากอาการอกหัก แต่เขาก็ไม่กลัวที่จะค้นหาใครคนใหม่ ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็กำลัง “ดูๆ” หนุ่มภูเก็ตอยู่คนหนึ่ง ทั้งสองยยังไม่เคยพบกันตัวเป็นๆ คุยแต่ทางเน็ตและโทรศัพท์เท่านั้น<br /><br />หลังจากรุ่งโดนรุกด้วยคำถามนั้น เขากลับหายหน้าไปหนึ่งอาทิตย์ โรจน์คิดว่า คงถึงเวลาทำใจ กินแห้วซะแล้ว แต่เขาบอกตัวเองว่าจะไม่หยุดค้นหา เวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น เขาทั้งสองไม่ได้โทรคุยกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่โรจน์รู้ว่า จะได้เจอรุ่งที่ฟิตเนสอีกแน่ๆ และในการพบกันที่เดิมคราวนี้ เป็นโรจน์เองที่รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินข้อเสนอ...<br /><br /> เขาบอกว่า “ขอแวะไปบ้านหลังจากเล่นฟิตเนสเสร็จน่ะครับ”<br /><br />คุณผู้อ่านครับ ผมเชื่อว่า บางท่านจะบอกว่า...เป็นผม ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก มีอะไรกันก่อน-ก่อนจะคบกันเป็นแฟน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีอะไรกันก่อน หรือมีอะไรกันทีหลัง ก็ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่า เราจะคบกันได้ยาวนานแค่ไหน คุณว่าเปล่า?<br /><br />เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โรจน์และรุ่งใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นก็คือวันนั้นเองที่รุ่งไปบ้านโรจน์ ระหว่างนอนคุยเล่นกันอยู่ จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น ฟังจากเสียงเพลงของโทรศัพท์ โรจน์รู้ว่า เป็นหนุ่มภูเก็ตคนนั้น แต่เขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้รุ่งฟังก่อนหน้านี้แล้ว โทรศัพท์ยังคงดังต่อไป และแล้วในวินาทีสำคัญ รุ่งก็เข้ามากอดตัวโรจน์ไว้แน่น ยึดตัวเขาไว้ ไม่ให้รับโทรศัพท์<br /><br />โรจน์มั่นใจแล้วว่า รุ่งอยากจะไปต่อกับเขา<br /><br />และเพิ่งจะกลางปีนี้เองที่โรจน์เพิ่ง “ได้ฤกษ์” เข้าบ้านรุ่งซะที –ในฐานะแฟนอย่างเปิดเผยและสง่าผ่าเผย <br /><br />ผมว่า...คงมีหลายท่านที่คบหากับใครคนหนึ่งมานานหลาย ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยบอกใครเลย ทั้งพ่อแม่หรือพี่น้องทางบ้านของคุณ หรือของเขา คุณอาจจะยังไม่เคยพา “เขา” คนนั้นไปเหยียบบ้านเลยสักครั้ง จะด้วยเหตุผลหนักหนาน่าจะถึงสาหัส อันเป็นภาพน่ากลัวที่ใครๆ ก็ชอบคิด หรือด้วยเหตุผลเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่คอยยับยั้งคุณไว้ บังคับกดขี่ให้คุณต้องปกปิดทุกๆ คนกระทั่งเพื่อนสนิท <br /><br />ถ้าคุณสองคนยินยอมคบหากันอย่างลับๆ ต่อไป หรือตลอดไป คงไม่น่าจะมีปัญหา <br /><br />“ก็ไม่เห็นจำเป็นนี่ที่ต้องใครมารับรู้ด้วย” ผมมักจะได้ยินคำพูดนี้บ่อยๆ จริงๆ แล้ว ผมเองก็เคยพูดแบบนี้มาเหมือนกัน <br /><br />แต่พอถามลึกๆ ว่า คุณเคยนึกอยากจะกู่ก้องร้องประกาศอะไรพรรค์นี้ให้คนอื่นรับรู้บ้างไหม... <br /><br />“ฉันมีความรัก ฉันรักเป็นแล้ว...และคนๆ นี้แหละคือ คนที่ฉันรัก” ถ้าคุณมีคนนั้นอยู่ข้างใน คุณลองดูสิ จะสบายใจสุดๆ เลย<br /><br />ฟังดู...ผมเว่อร์ไปเปล่า? เอาเถอะ วันหนึ่ง คุณจะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกนั้นเอง เมื่อถึงเวลาของคุณ ตอนนี้ถึงเวลาของนายรุ่งแล้ว <br /><br />หลังจากรุ่งตกลงเป็นแฟนกับโรจน์ เขาคงคิดมาตลอดว่า จะเปิดเผยความรักของเขาให้ทางบ้านรับรู้ได้ยังไง? สามปีกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันแรกที่ทั้งสองพบกันที่ฟิตเนสแห่งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ แต่ตอนนี้โรจน์และรุ่งกำลังจะสร้างวันสำคัญขึ้นอีกวันหนึ่ง<br /><br />แล้ววันนั้นของเขาก็มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ<br /><br />เมื่อราวต้นปีนี้เอง พี่สาวของรุ่งเพิ่งคลอดลูก แม่ของเขาทั้งสองคือ “อาม้า” ก็ต้องไปอยู่ดูแลเฝ้าลูกสาว รุ่งจัดการถ่วงเวลาจนหมดเวลาเยี่ยมราวสองทุ่ม เขารู้ดีว่า นี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะเปิดตัวโรจน์ เขาจัดการโทรหาแฟนหนุ่มแล้วบอกว่า ให้มารับที่โรงพยาบาล <br /><br />ปกติโรจน์จะขับรถไปรับรุ่งหลังงานเลิกงานแล้ว และกลับบ้านพร้อมกัน บ้านของทั้งสองบังเอิญอยู่ในเส้นทางเดียวกัน แต่วันนี้โรจน์จะขับรถไปโรงพยาบาลแทน <br /><br />ผมถามเขาว่า รู้สึกตื่นเต้นหรือเปล่า เพราะนี่ถือเป็นกึ่ง “แกรนด์โอเพนนิ่ง-เปิดตัวครั้งใหญ่” เลยนะ แต่สำหรับโรจน์แล้ว เขาบอกว่า เขาจะพยายามทำตัวปกติธรรมดา สิ่งที่โรจน์ทำก็เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ไปรับรุ่ง <br /><br />เมื่อไปถึงที่หมาย ครอบครัวของรุ่งรออยู่แล้ว พอรถจอดเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินสวนทางกัน รุ่งเดินมาเปิดประตู แล้วนั่งที่คนขับ ส่วนโรจน์พาตัวเองไปนั่งข้างๆ แทน แน่นอนล่ะครับ สิ่งที่สองหนุ่มทำ ไม่มีทางหลุดพ้นจากสายตามารดาและคนอื่นๆ แน่ แผนที่หนึ่งเริ่มแล้ว<br /><br />“ผมก็รู้มาก่อนว่า ไม่ใช่ไปรับเขาคนเดียว ก็ไม่ได้เตรียมตัวพิเศษอะไรนะ ตอนนั้น ผมเพิ่งออกรถใหม่ แต่ผมจะขี้เกียจขับ ให้เขาขับประจำ วันนั้นผมก็ขับไป ทุกคนมาถึงรถ ผมก็เปิดประตู สลับที่กัน ทุกคนก็อึ้ง ไม่เห็นพูดอะไรกัน รถผม น่าจะขับเอง ในรถก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไร” โรจน์เล่า<br /><br />นัดที่หนึ่งผ่านไปด้วยดี แม้โรจน์จะไม่ได้เดินเข้าบ้านรุ่งในวันนั้นเพราะเริ่มจะดึกแล้ว ระยะทางจากจุฬามาถึงย่านสำโรงนั้นไกลไม่น้อย<br /><br />ถึงวันเสาร์ โรจน์ก็ขับรถไปรับรุ่งที่บ้านเพื่อออกไปซื้อของกัน กลับมาตอนกลางคืน พารุ่งกลับมาส่งบ้าน ไม่รู้ว่า นี่เป็นแผนสองหรือยังไงนะ แต่โรจน์บอกให้แฟนเดินเข้าบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองยังคงนั่งอยู่ในรถ ไม่เดินเข้าไปในบ้าน และแล้ว “อาม้า” ก็เห็น เลยบอกให้แฟนของพี่สาวออกมาตาม <br /><br />“ผมก็เดินตามเข้าไปล่ะครับ อาม้าก็ทำโน่นทำนี่มาให้กินเยอะแยะ บอกให้รออยู่กินข้าวด้วยกัน ตอนนี้ทุกเสาร์-อาทิตย์เลยต้องไปกินข้าวบ้านเขาตลอดพร้อมหน้ากันกับคนอื่นๆ ผมว่า สิ่งหนึ่งที่ผมทิ้งไม่ได้เลยคือ เวลาเจอหน้าอาม้า ทุกครั้ง ก็ต้องไหว้ทุกครั้ง จะลากลับบ้าน ก็ต้องไหว้เหมือนกัน”<br /><br />ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงนึกสงสัยว่าทำไมอาม้าหรือคนอื่นๆ ในบ้านไม่ตั้งคำถามอะไรซักที? โรจน์ประเมินสถานการณ์แล้วคิดว่า คงเป็นเพราะที่ผ่านมารุ่งไม่เคยคบกับใครไม่ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย รุ่งไม่ได้มีอาการ “ออกสาว” เพียงแต่เป็นนักช้อปเครื่องสำอางมือหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นโชคก็คือ ที่บ้านของรุ่งแม้จะเป็นคนจีน แต่ก็เป็นคนจีนหัวสมัยใหม่ <br /><br /><blockquote>“ทางบ้านเขาไม่เคยถามอะไรครับ เขาคงรู้แล้ว เราก็ไม่เคยบอกอะไรไป” โรจน์เล่าต่อ</blockquote><br />ส่วนบ้านโรจน์ก็รับรู้สิ่งที่เขาเป็นมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งหนึ่งโรจน์เล่าว่า ทางบ้านอยากให้เขาแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเพราะพี่ๆ แต่งกันหมดแล้ว เหลือเขา-น้องคนสุดท้องคนเดียว แล้วพี่สะใภ้ก็รับหน้าที่หาสาวมาให้ดูตัว และยังโดนสั่งให้พูดจาหว่านล้อมเขา เขาบอกปัดไปว่า “ใครหามา ก็แต่งไปเอง”<br /><br />“สุดท้ายพี่สะใภ้นั่นแหละเข้าใจผม เข้าข้างผม” เขาเล่า<br /><br />ที่บ้านรุ่ง เหมือนต่างคนต่างรู้ แต่ถ้าไม่เคยพูดอะไรว่างั้นเถอะ แต่ดูเหมือนคนที่อยากจะ “สื่อสาร” มากที่สุด กลับเป็นอาม้า <br /><br />โรจน์เล่าว่า วันหนึ่ง อยู่ๆ อาม้าก็บอกว่าอยากจะไปดูหนังเรื่องหนึ่ง หนังที่ไม่มีใครทางบ้านคิดว่า อาม้าจะอยากไปดู <br /><br />“เขาอยากไปดู ‘แก๊งชะนีกับอีแอบ’ อยากไปดูมาก เลยชวนลูกชายคนโตไปดู ผมก็ตกใจ เหมือนกัน พี่สะใภ้ก็เลยไปด้วย เหมือนเขาต้องการจะเข้าใจอะไรบางอย่าง” โรจน์เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น<br /><br />ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้วล่ะครับที่โรจน์เดินเข้าออกบ้านรุ่ง และรุ่งก็ทำเช่นกันในทางกลับกัน เหมือนคนธรรมดาทั่วไปคบหาเป็นแฟนกันอย่างเปิดเผย<br /><br />ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้รับการ “รับรู้” จากทั้งสองบ้านแล้วละดูจะยิ่งแนบแน่นยิ่งขึ้น<br /><br /> มีอยู่หนหนึ่ง หลานๆ ร้องงอแงบอกว่า อยากตามโรจน์กับรุ่งไปต่างจังหวัดด้วย อาม้าของรุ่งก็บอกหลานๆ ทันทีว่า <br /><br />“ไม่ต้องไปหรอก หนุ่มสาวเขาจะจู๋จี๋กัน”<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> หนังดังจากเกาหลีเมื่อต้นปีลงโรงฉายแล้ว “King and the Clown” เรื่องราวรักสามเศร้าต่างวรรณะ ต่างความใฝ่ฝันของผู้ชายสามคน คุณอาจจะเสียน้ำตา หรือซาบซึ้งกับความเข้าใจและเสียสละให้กับคนที่คุณรัก เริ่ม 7 ธ.ค. สยามพารากอนและแกรนด์อีจีวี <br /><br />-end-<br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1164512540117359222006-11-26T10:37:00.000+07:002006-11-26T10:42:20.433+07:00เปนชู้กับผม<a href="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/1600/801693/173.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/x/blogger/4446/1988/320/914270/173.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />25-26 Nov 2006<br /><br /><strong>วันดีคืนดี ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุชวนทะเลาะระหว่าง คู่รักวัยรุ่น “นายแบงค์กับนายเคน” อย่างไม่ทันรู้ตัว</strong> <br /><br />มันเกิดขึ้นเร็วๆ นี้เอง วันนั้นผมอยากจะไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกือบจะอำลาโรงอยู่รอมร่อ เพื่อนๆ หลายคนยืนยันว่าเป็นหนังดี แต่ผมก็ “เพิ่ง” จะรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะไปดู คือจริงๆ แล้ว ก็ตั้งเงื่อนไขไว้เองแหละครับว่าเอาไว้รอดูรอบดึกๆ ไปวันธรรมดา คนจะได้ไม่เยอะ แล้วก็รอ แล้วก็รอ...<br /><br />พอนึกขึ้นได้ว่า นายแบงค์เคยบอกผมว่า เพิ่งจะย้ายมาอยู่ละแวกบ้านผม และชอบดูหนังแนวๆ นี้ ผมก็กริ๊งไปหาเลยแทบในทันที<br /><br />“ว่างเปล่า ไปดู ‘เปนชู้กับผี’ มั๊ย ดูยัง?”<br /><br />“เฮ้ยๆ พี่ อยากดู ไปๆ แต่เดี๋ยวก่อนถามแฟนดูก่อน”<br /><br />“ก็มาด้วยกันสองคนเลย...จะได้...”<br /><br />ยังไม่ทันพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงนายแบงค์ตะโกนถามใครบางคน แล้วผมก็ได้ยินเสียงเข้มๆ แว่วจากระยะไกลๆ มาทางอากาศผ่านเข้ามาในรูหู ผมพอจับความได้ว่า “ไม่ให้ไป!”<br /><br />เอาละซี...<br /><br />พอนายแบงค์กลับมาพูดโทรศัพท์ต่อ ผมก็รีบชิงตัดบท “ไม่เป็นไร ไม่ว่างก้อ....นะ ไม่ว่ากัน”<br /><br />“เอ่อ...พอดีแบงค์ยังจัดบ้านไม่เสร็จน่ะครับ ไว้โอกาสหน้านะ”<br /><br />แล้วผมก็ได้ไปดูหนังเรื่องนี้ในรอบดึกที่สุดของวันนั้นสมใจอยาก หนังเรื่อง “เปนชู้กับผี” ถือว่าเป็นหนังไทยที่มีคุณภาพอีกเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ กลมกล่อม ลงตัวในเกือบทุกสัดส่วน เพียงแต่ เสียดายจัง พระเอกโผล่ออกมาน้อยไปหน่อย-มัวแต่ทำตัวเป็นเงาตะคุ่มๆ ขุดดินๆ <br /><br />ในอีกไม่กี่วันต่อมา ผมก็ได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างจากแบงค์ว่า หลังจากที่ผมโทรฯ ไปหาเขาเพียงหนึ่งกริ๊งวันนั้น นายเคน แฟนของเขาก็เป็นฟืนเป็นไป ตั้งข้อกล่าวใหญ่โตเลยทันทีว่า <br /><br />นายแบงค์ “เปนชู้กับผม”<br /><br />โหย....ให้นอนกับผี (ผู้ชาย) เลยสิเอ้า....อะไรจะหึงได้ขนาดนั้น แค่ชวนไปดูหนังเนี่ย?<br /><br />ผมว่า นายเคนไม่น่าคิดไปไกลขนาดนั้น เราแทบจะไม่รู้จักกัน หรืออย่างน้อย ผมก็ไม่ได้ชวนแฟนเขาออกมาเที่ยวสองต่อสอง เอ...หรือว่า คงเป็นเพราะสองคนนี่ ยังข้าวใหม่ปลามัน? นายเคนเลยอาการหวงก้างไปหน่อย? <br /><br />ก่อนจะเกิดเรื่อง ‘เปนชู้กับผม’ แบงค์เคยโทรฯ มาหนหนึ่ง แล้วเผยให้ผมฟังว่า ได้รู้จักคนๆ หนึ่ง ซึ่งหน้าตา และอายุพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ผมไม่แน่ใจว่า แบงค์กำลังหมายความว่า ท่าทางของเขากับเคนเจ้าชู้พอๆ กันด้วยหรือเปล่า? <br /><br />แต่เอาเถอะ ทั้งสองคนได้ตกลงเป็นแฟนกันเรียบร้อย และผมก็ไม่เลยคิดซักนิดว่า แบงค์จะสามารถสานสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว<br /><br />“แม่เขาดีกับแบงค์มากนะครับพี่ จริงๆ ที่บ้านเขาก็ดีกับแบงค์หมดทุกคน” เขาเล่าอย่างภาคภูมิ <br /><br />“เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเนี่ยนะ ก็ย้ายสมบัติพัสถานไปกินนอนอยู่บ้านเขาแล้ว?” นั่นคือคำถามที่ผมถามเขา เขาถึงตอบอย่างนั้นมา <br /><br />จากนั้น ผมก็ได้ยินเรื่องราวคุณงามความดีของนายเคนอีกเป็นกะตั้ก ฟังแล้วก็อดปลื้มใจไปกับน้องคนนี้ไม่ได้ที่ในที่สุดแล้ว เขาก็ได้เจอคนที่ทุ่มเทให้กับเขาอย่างจริงจัง หลังจากที่ทำตัวลอยไปลอยมา คบหาหลายคน เรียกว่า หมดจากคนโน้น ก็มีคนนี้มาแทนทันที เคยฟังเขาเล่าแล้ว ผมไม่อาจจำชื่อและเรื่องได้ มันสลับสับสนกันไปหมด<br /><br />“แต่ผมก็ยังชอบพี่เก้งอยู่นะ” นายแบงค์ประกาศ <br /><br />อ้าว? แล้วไหงถึงย้ายไปอยู่กับเคนเขาล่ะ? <br /><br />แบงค์เฉลย “ก็ผมคิดว่า ผมควรจะรักคนที่เขารักเราจะดีกว่านะ ผมคิดว่า เคนเป็นคนดี เขาจริงจังและทุ่มเทให้กับผม ไม่เหมือนคนอื่นๆ ผมควรให้เวลากับเขา ผมคงจะชอบเขามากขึ้นๆ” <br /><br />ด้วยการย้ายไปทดลองอยู่ด้วยกันซะเลย?<br /><br />เวลาผ่านไปสักพัก หลังจากเหตุการณ์วันที่ผมชวนเขาทั้งสองไปดูหนัง แบงค์ก็เล่าให้ผมฟังอีกว่า เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่า จะไปต่อ...หรือพอแค่นี้?<br /><br />คุณผู้อ่านครับ สองคนนี่ เพิ่งคบกันมาทั้งหมดก้อ...สองอาทิตย์ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากคำของนายแบงค์ มันยาวเหลือเกินจริงๆ คงต้องตัดตอนมาเล่าสู่กันฟัง<br /><br />นอกจากแบงค์จะพบว่า เคนขี้หึงตัวฉกาจแล้ว เขายังเป็นคนช่างโกหก และชอบให้ความหวังใครๆ ไปทั่ว ซึ่งเคนเองก็รู้ตัวว่า ทำไม่ถูก ขนาดคบกับแบงค์แล้ว เขายังไปให้ความหวังกับอีกคนหนึ่งหน้าตาเฉย เวลาใครคนนั้นโทรฯ เข้ามา เคนจะสามารถปั้นเรื่องสอดประสานเข้ากับสิ่งที่เขาเคยโกหกทิ้งท้ายไว้ใน “Episode” ก่อนหน้าได้เสมอ เคนคงเป็นคนที่มีหน่วยความจำเยี่ยมยอดหลายกิ๊กกะไบท์<br /><br />เคนยังเป็นคนที่ทุ่มเท เป็นห่วงเป็นใย และมองการณ์ไกลถึงอนาคต ทุกๆ อย่างที่เคนจะทำต้องมีแบงค์<br />อยู่ในแผนนั้นด้วยเสมอ แต่สิ่งที่แบงค์อยากจะทำ เคนมักจะไม่ให้ทำ นอกจากไม่ให้ไปดูหนังกับเพื่อนแล้ว เคนก็ยังคอยเซ็นเซอร์เรื่องอื่นๆ อีก เช่นการคบเพื่อนคนอื่นๆ ของแบงค์ กระทั่งเบอร์มือถือของแฟนเก่าซึ่งตอนนี้ตกลงคบกันเป็นพี่น้องแล้ว เขาก็ขอร้องให้แบงค์-ลบทิ้งซะ<br /><br />พอนายแบงค์ต้องการไปร่วมงานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งซึ่งทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคมเป็นประจำ เคนก็จะห้ามปรามแกมขอร้องว่า ได้โปรดอย่าไปร่วมงานกับคนกลุ่มนั้นอีกเลย จะด้วยเคนเคยรู้จักหลายๆ คนในนั้น แล้วทำใครๆ ในนั้น “เจ็บ” มาก่อนก็ตามที แต่แบงค์ก็เป็นตัวของตัวเองพอที่จะบอกว่า เขาไม่เห็นต้องทำตามเคนบอกทุกเรื่อง <br /><br />นายเคนเลยยื่นคำขาด และบอกว่า จะไม่ไปทำงานต่างประเทศทั้งๆ ที่ญาติๆ เตรียมลู่ทางรอไว้แล้ว เพียงแค่แบงค์รับปากว่าจะไม่ไปร่วมงานกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มนั้นอีก เคนยินดีจะทิ้งทุกอย่างเพื่อแบงค์<br /><blockquote>สำหรับเคน สิ่งที่เขาทั้งหลายทำคือ การทุ่มเทอย่างยิ่งใหญ่เพื่อคนที่เขารัก เขาบอกกับแบงค์ว่า ถ้าเขารักใคร เขาจะรักหมดใจ</blockquote><br />ก่อนหน้านั้น เคนเล่า เขาเคยมีแฟนที่อายุแก่กว่าเขาสี่ปี แม้แฟนจะไม่ทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราว เอาแต่เที่ยวสนุกแล้วก็กลับมาหลับ นอนตื่นสาย เคนก็ไม่ว่าอะไร เขารู้สึกดีที่ได้ “เทคแคร์”แฟนของเขาในทุกๆ เรื่อง<br /><br />แต่สำหรับแบงค์ เขางุนงงสับสนว่า ชีวิตเขาต้องขึ้นอยู่กับการควบคุมของเคนตลอดไปหรือยังไง?<br /><br />กรณีของเคน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดภาษาอังกฤษประโยคหนึ่งเวลาใครสองคนคบกันเป็นแฟนว่า “You and me against the world.” มีความหมายนัยแฝงคือ เมื่อคนเราพบกัน รักกัน สิ่งอื่นใดย่อมไม่สำคัญ แม้กระทั่งเพื่อนๆ ก็ตัดไปได้ เพราะตอนนี้ “เรามีเรา” ในโลก “ของเรา” แล้ว ก็เพียงพอแล้ว<br /><br />อีกอย่าง เคนจัดเข้าประเภทที่เรียกว่า possessive boyfriend คือ พวกที่ชอบควบคุมคนอื่น แสดงความเป็นเจ้าของได้ในทุกๆ เรื่อง ตัดสินใจแทนโดยไม่ฟังเหตุผล ไม่รู้สึกเดือดร้อนที่ตัวเองจะเหนื่อย ชอบทุ่มเท เพราะคาดหวังไว้ว่า การแสดงความเป็นเจ้าของของเขาจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า คือ มีแฟนที่ต้องรักเรา เป็นห่วงเขาเหมือนกัน <br /><br />แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือ ทาสผู้ซื่อสัตย์หนึ่งคนต่างหาก?<br /><br />การที่เคนเปิดบ้านให้แบงค์เข้าไปอยู่ด้วยกัน ในอีกนัยหนึ่งก็คือ คงไม่ต้องการให้แบงค์อยู่ห่างหูห่างตา เขาจะได้สบายใจ ไม่ต้องคอยห่วงว่า แบงค์จะออกไปไหน ไปกับใคร <br /><br />“นี่ถ้าเขามีโซ่มาล่ามผม คงทำไปแล้ว” นายแบงค์เปรย “พอดี ผมยังต้องออกจากบ้าน เพราะยังมีเรียนหนังสืออยู่”<br /><br />เขาถามผมว่า จะทำยังไงดีกับกรณีที่แฟนเป็นแบบนี้ ผมไม่มีคำตอบให้ชัดๆ หรอกครับ แต่ผมก็ถามแบงค์ว่า คิดว่า จะเปลี่ยนแปลงคนอย่างนี้ได้หรือเปล่า แล้วถ้าเปลี่ยนเขาไม่ได้ เราเองน่ะ จะเปลี่ยนตัวเองได้หรือเปล่า?<br /><br />“ผมไม่คิดว่า ผมจะต้องเปลี่ยนอะไร ผมเป็นของผมแบบนี้ ในอนาคต ถ้าต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในอนาคตผมคงคบกับใครแล้วก็มีปัญหาอะไรบางอย่างมาอีก ผมเชื่อว่า คงไม่มีใครที่ได้เจอคนที่ถูกใจแล้วก็คบกันได้อย่างลงตัวเป๊ะๆ หรอกพี่”<br /><br />ตอนนี้ แบงค์กับเคนตัดสินใจคบกันต่อไป ทั้งสองคนตัดสินใจว่า ที่ผ่านมา ก็ให้แล้วๆ ไป และจะไม่รื้อฟื้น ตอนนี้ขอนับหนึ่งใหม่<br /><br />ก็...เอาใจช่วยนะครับ ทั้งสองคน<br /><br /><strong>บอกต่อกันไป :</strong> กลุ่มอัญจารีขอเชิญชวนมาร่วมงานเสวนาประสาผู้หญิง “หญิงรักหญิงกับเส้นทางการ<br />ปฏิบัติธรรม” 26 พ.ย. นี้ บ่าย 2- 4 โมง ที่ร้านBug & Bee สีลม ชั้น 3 คุณเคยได้ยินไหมว่า “เกิดเป็นผู้หญิงเพราะทำกรรมไม่ดี”? จริงหรือเปล่าที่ว่า “เลสเบี้ยน/เกย์ปฏิบัติธรรมได้ แต่บรรลุธรรมไม่ได้?” <br />ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08 – 6677 9009 อีเมล: info@anjaree.net www.anjaree.net<br />ขอเก็บค่าเข้าร่วม คนละ 60 บาท เพื่อให้กับร้านกาแฟที่ยินดีให้เราใช้สถานที่ แล้วร้านก็จะมีกาแฟบริการพร้อมขนม/ ชมเทศกาลหนังเกย์ หนังเด็ด น่าดูจากทั่วเอเชีย โดยกลุ่มคนทำหนังอิสระได้ที่ Flip Café ซอยงามดูพลี ฉายถึง ธันวา ทุกวันเสาร์ รายละเอียด <a href="http://www.thaiindie.com/archives/events/flip.html">http://www.thaiindie.com/archives/events/flip.html</a> หรือโทร 089-690-6601 <br /> <br />-end-<br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1163918753662114552006-11-19T13:32:00.000+07:002006-11-19T14:21:14.313+07:00ผู้ใหญ่รักเด็ก เด็กรักผู้ใหญ่<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/1600/boyoctprivate4.1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/320/boyoctprivate4.0.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 18-19 Nov 2006<br /><br /><strong>"ไม่ได้เคยคิดชอบเด็กเล้ย...แต่พอคบๆ ไปก็ดีว่ะ" นายแซ้งค์บอกยิ้มๆ เหมือนภูมิใจอะไร หรือไม่ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง</strong> <br /><br />เพื่อนผมคนนี้ไม่ได้กำลังอวดอะไรแต่อย่างใดนะครับ เพราะเท่าที่ผ่านมา ผมก็เห็นมันควงคนอายุใกล้ๆ กันมาโดยตลอด ทั้งหน้าตาหรือรูปร่างรึก็สูสีกัน ถ้าไม่ใช่หนุ่มอายุยี่สิบปลายๆ ก็ใกล้ๆ ล่ะ คือ...ต่างคนก็ต่างเลยเลขสามไปแล้วสักพักนึง <br /><br />แล้วผมก็เริ่มมองไปรอบๆ ตัว <br /><br />เดินเล่นอยู่วันก่อน ก็ดันไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เป็นเพื่อนต่างคณะ ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอกครับ แต่ด้วยความเป็นคนขายาวเหมือนกัน (แต่หลังไม่ยาวนะครับ) เราเลยมักจะมองเห็นหน้ากันและกัน...ลอยอยู่เหนือศีรษะผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ในรั้วมหา' ลัยเสมอๆ <br /><br />ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า นอกจากเขาจะมีรูปร่างผอมสูงเหมือนผมตอนเรียนหนังสือแล้ว เขาก็ยังสังกัด "สมาคมมนุษย์สายรุ้ง" เหมือนกัน ถ้ารู้ใจกันตั้งแต่สมัยโน้น เราคงสนิทกันไปแล้ว <br /><br />วันนี้ก็อีกหนหนึ่ง เรามองเห็นกันในระยะไกลๆ อีกแล้ว พอผมเดินมาถึงอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ร้องทักขึ้น "เฮ้ย! เป็นไง...สบายดี? เออ...นี่แฟนเรา" นายเอ็มบอก ผมส่งยิ้มให้เขา เขาเอามือแตะหัวไหล่หนุ่มน้อยคนหนึ่งเบาๆ เป็นเชิงแนะนำ ผมดูและเดาๆ แล้ว อายุของน้องคนนั้นไม่น่าจะเกิน 22-23<br /><br />แหม...เดี๋ยวนี้ เปิดตัวกันใหญ่....ผมคิดในใจ แล้วก็ส่งยิ้มให้เอ็ม แถมเปิดตัวแฟนให้รู้จักอย่างนี้ชัดๆ ผมชอบครับ ไม่เหมือนบางคน เดินๆ อยู่ ใกล้ชิดตัวติดกันยังกะแตงเม แต่มาแนะนำว่า นี่เพื่อนเรา อย่างนี้ เรียกว่า ไม่แน่จริง <br /><br />"เออ...สบายดี" ผมร้องตอบเอ็มไป ด้วยอาการลิงโลดหรือจำไม่ได้ถนัด แต่เมื้อมันบวกกับอาการพูดจาเรื่อยเจื้อยของผมและเห็นหน้าละอ่อนของน้องคนนั้นแล้ว ก็อดโพล่งไปไม่ได้ว่า <br /><br />"โหย....นั่นลูกเหรอวะ?" <br /><br />รู้สึกนายเอ็มจะไม่ค่อยรับมุขเท่าไหร่ เพราะดูสีหน้าเรียบเฉย เฉยในแบบไม่ค่อยปกติ ตอนนี้ถ้ามีกระจกส่องหน้า ผมคงเห็นหน้าตัวเอง กร่อย...จ๋อยกะจ๊อง...<br /><br />ผมมานั่งทบทวนดูเรื่อง อายุกับความสัมพันธ์ ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าคุณๆ เป็นนักท่องเว็บ คุณก็อาจจะพบประกาศทำนองนี้บ่อยๆ เหมือนกัน... "ป๋มอยากหาพี่ชายมาดูแลจัง" หรือ "หนุ่มใหญ่ วัย 30 up อยากหาน้องชายไว้คุยเป็นเพื่อน...." <br /><br />บางคนก็ไม่ค่อยชอบประกาศทำนองนี้เท่าไหร่ แต่เอาเถอะครับ คนเขาอยากแค่รู้จักกัน หรืออยากจะไปทำอย่างอื่นด้วยก็แล้วแต่เขา อันนี้ค่อยมาว่ากันทีหลัง<br /><blockquote><br />ผมคิดว่า ความสัมพันธ์ต่างวัย เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย คนที่อายุต่างกันเกือบหนึ่งรอบ หรือกว่านั้น ต่างมีประสบการณ์ ความคิด-ความอ่านไม่เหมือนกัน พอคบเป็นแฟนกัน มันย่อมต่างจากการคบคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่แล้ว หรือคงจะจริงอย่างที่ว่า “ความแตกต่างมักดึงดูดให้คนเราเข้าหากัน?”</blockquote><br />ผมเลยไปลองถามนายแซ้งค์อีกทีว่า ทำไมคบเด็กแล้วบอกว่ามีความสุขล่ะ?<br /><br />สำหรับเขา เขาไม่คิดว่า อายุที่ห่างกันสิบปีหย่อนๆ (เอง) ระหว่างเขากับ "น้องเต๊ะ" จะเป็นอุปสรรคอันใด เขาบอกว่า น้องเต๊ะ เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว กำลังขึ้นปีสาม แต่ที่สำคัญ น้องเต๊ะ ไม่ใช่วัยรุ่นแนวเหลาะแหล่ะ จ๊อะแจ๊ะ ต้องคอยเอาอกเอาใจตลอด หรือเป็นประเภททำตัวเหมือนข้าเก่งชิบ...แต่พูดจาไม่รู้เรื่อง <br /><br />"น้องเขาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่นะ เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ก็แปลกดีนะ ไอ้เราเอง ก็ไม่ได้ทำเป็นผู้ใหญ่ ผ่านโลกมามาก ซะจนเห็นใครๆ ทำอะไรไม่เข้าไปหมด ก็เลยรู้สึกดีไง" นายแซงค์เล่า <br /> <br />เท่าที่ผมสังเกตคู่นี้ เวลาผมได้เห็นเขาอยู่ด้วยกัน รู้สึกโลกทั้งโลกจะมีอยู่กันแค่สองคน ต่างคนเหมือนจะดึงดูดอีกคนให้เข้าไปสู่โลกของอีกคน ผมคิดว่า นายแซงค์ดูร่าเริง มีชีวิตชีวาขึ้น<br /><br />นี่เหรอ อานุภาพ ของการคบเด็ก?<br /><br />แล้วนายทำตัวเป็นเสี่ยหรือเปล่า แบบว่า เปย์ โน่นเปย์นี่ให้น่ะ ผมหยั่งเชิงดู<br /><br />เขาบอกว่า ก็มีบ้างเหมือนกัน มันคงหนีไม่พ้น เพราะน้องเขายังไม่มีรายได้อะไร ก็ต้อง "จ่าย" ให้บ้างเป็นธรรมดา "แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ดูหนัง กินข้าว แต่ฉันไม่ได้ทำตัวทุ่มทุนสร้างนะ รู้สึกไม่ดี แล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีด้วยเวลาเราจ่ายให้ ผู้ชายน่ะ มันก็อยากดูแลตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ดีตรงที่ เขาไม่เหมือนคนอยากได้อยากมี บ้าของแพงๆ" <br /><br />คงจะจริงอย่างนั้นมั้งครับ วันก่อน ผมโทรฯ ไปหานายแซงค์ เขาบอกว่า กำลังเดินอยู่ร้านบีทูเอส ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติ นายแซงค์เป็นคนที่ไม่เข้าร้านหนังสือ เขาเฉลยมาทางโทรศัพท์ทีหลัง<br /><br />"เอ่อ...มาซื้อเครื่องเขียนกับน้องเขา" <br /><br />สงสัยน้องเต๊ะคงได้กระเป๋านักเรียนใบใหม่พร้อมดินสอสี กับยางลบครบเซ็ต<br /><br />เพื่อนอีกคนของผม ก็เลยเลขสามไปแล้วเหมือนกัน สองคนนั่นคบกันก็ย่างเข้าปีที่สามแล้ว นายเอกับน้องบี (ไม่มีชื่ออื่นแล้วเหรอ? เอ่อ...คุณผู้อ่านครับ ก็นามสมมุติทั้งนั้นแหละครับ แต่มีตัวตนจริงๆ เขียนเรื่องชาวบ้านมาหลายคนแล้ว เริ่มคิดชื่อไม่ค่อยจะออกน่ะ) <br /><br />สำหรับคู่นี้ก็ห่างกันประมาณ 10 ปี ระยะหลังสองคนเริ่มมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันบางอย่าง นายเอกำลังคิดว่า จะคบน้องเขาต่อดีไหม? ในฐานะที่ผมสนับสนุนให้คนมีความรักเบิกบานในหัวใจกันนานๆ ผมก็จะบอกเขาไปว่า ต้องใจเย็นๆ แล้วก็คิดให้รอบคอบ เซย์กู๊ดบายน่ะมันง่ายนะ <br /><br />เรื่องของเรื่องคือ ด้วยความที่นายบี เป็นเด็กหน้าตาดี เลยมีคนเข้าหาเยอะ ล่าสุด ก็เกิดมี "รุ่นพี่ใจดี" คนหนึ่งให้หยิบยืมเงินทองอย่างมโหฬารเพื่อไปลงทุน <br /><br />ก่อนหน้านี้นายเอ ไม่ได้สนับสนุนการลงทุนครั้งนี้ แต่นายบีก็มั่นใจ และคิดว่า ตัวเองมีศักยภาพพอเรื่องทำธุรกิจ ขาดก็แต่เรื่องเงิน พอมีรุ่นพี่ใจดี โผล่เข้ามา ก็เลยตอบโจทย์ได้ แต่แล้ว ก็เกิดปัญหา การลงทุนไม่เป็นดังฝัน เรื่องก็ค่อยๆ แดงขึ้นมาแล้วเข้าหูนายเอ <br /><br />ทั้งๆ ที่ต่อมา นายเอ ก็รู้ความจริงจากปากนายบีแล้วนะครับว่า น้องบีสุดที่รักไปมี something wrong กับรุ่นพี่นักเปย์คนนั้นไปเรียบร้อย (ไม่รู้ว่า ถือว่าเป็นการชำระดอกเบี้ยให้กันหรือเปล่า) นายเอก็บอกว่า เขาให้อภัยได้ เพราะ...<br /><br />"บีเป็นคนที่เข้าใจอารมณ์เรา เราว่า..จะหาคนอย่างนี้ยาก ที่ผ่านมา เขาทำอะไรไป ก็ ไม่คิดอะไรมากหรอก ตอนนี้ก็ยังอยากคบต่อไปอยู่" นายเอ พูดอย่างจริงจัง ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า เขาทั้งสองจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้<br /><br />ฟังเรื่อง รุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่ามามากแล้ว มาฟังเสียงน้องน้อยบ้างไหมครับว่า เขาคิดยังไง ถึงได้คบ "รุ่นใหญ่" <br /><br />หมายเหตุ : รุ่นใหญ่ในที่นี้ ผมหมายถึง คนอายุเลยเลข 3 ไปแล้วนะครับ ผมคิดว่า คนอายุ 30 กว่า จะเป็นคนที่มีความคิดอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอายุ 20 แม้กระทั่ง 20 ปลายๆ แน่นอน ท่านผู้อ่านที่อายุยังไม่ถึงเลข 3 อาจจะกลับมาอ่านตรงนี้ใหม่ ตอนถึงเลขสามแล้วก็ได้ แล้วจะเข้าใจว่า ผมกำลังหมายถึงอะไรอยู่ ส่วนหนึ่งก็คือ พลันที่ตัวเลขจาก เลขสองปรับปุ๊บไปเป็นเลขสามเพียงข้ามคืน วันนั้นน่ะ ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า รู้สึกวูบ... เพราะมันมีคำถามอะไรตามมามากมาย อย่างว่า เคยสนุกๆ คบคนนั้นที คนนี้ที หรือทำแต่งาน หรือมุ่งมั่น สร้างฐานะ ตอนนี้ พอถึงเลขสามเป๊ง ก็มักจะหันมาตั้งคำถามใหม่กับตัวเองว่า ตกลงชีวิตฉัน ต้องการอะไรกัน แน่? วันสนุกๆ เหล่านั้น กำลังจะจากฉันไปหรือเปล่า? หรือฉันกำลังจะแก่เกินไปสำหรับเขา?<br /><br />เราคงต้องทิ้งเป็นคำถามอย่างนั้นไว้ก่อน <br /><br />สำหรับคนเลขสองต้นๆ และกำลังคบกับคนเลขสาม อย่าง "นายโด่ง" เขาเล่าให้ผมฟังว่า <br /><br />"คบกับคนอายุมากกว่า รู้สึกอบอุ่นครับ" เขาบอกเรียบๆ ผมเลยถามต่อว่า "อบอุ่นอะไร ยังไง?" เขาก็บอกมาด้วยเสียงมั่นใจว่า "อบอุ่นทุกอย่าง แต่ผมก็เลือกด้วยนะครับ แบบว่า อายุเลขสามแล้ว พุงใหญ่ๆ น่ะ คงไม่สน แต่พอเอาเข้าจริง ถ้าเขานิสัยดี ก็คงต้องดูกันไป เคยคบกับคนอายุพอๆ กัน ก็ดีไปอีกอย่าง เล่นหัว ขี่คอ ขี่หลังได้ แต่กับพี่เขา ผมจะไม่ทำอย่างนั้น เราก็ให้ความเคารพเขาอีกอย่างหนึ่ง" <br /><br />โดยวิสัย (ที่ใครๆ คงรู้แล้ว) ผมถามเขาต่ออย่างไม่เกรงใจว่า "แล้วเรื่องบนเตียงล่ะน้อง เป็นไง กับคนอายุมากกว่าขนาดนั้นน่ะ" <br /><br />เขาบอกว่า "อันนี้ ไม่ขอตอบ แหะ..ส่วนตัวครับ" <br /><br />โหย...อดเลย รู้สึกน้องคนนี้จะเคารพคนที่เขาคบเอามากๆ <br /><br />คุณผู้อ่านครับ คุณกำลังคบกับคนอายุน้อยกว่า หรือมากกว่า อย่างกรณีที่เล่าไหมครับ? <br /><br />ผมกำลังสงสัยว่า ความแตกต่างทางอายุ ประสบการณ์ มุมมอง ฐานะเศรษฐกิจ มันกลายเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนให้คนสองคนที่อายุต่างกัน ได้มาเจอกัน หรือดึงดูดให้เข้าหากันหรือเปล่า? คนอายุมากกว่า กำลังใช้ชีวิตผ่านชีวิตคนอายุน้อยกว่า เพื่อจะกลับไปหาสิ่งที่ตัวเองเคยโหยหาแล้วไม่ได้ทำตอนอายุขนาดนั้นหรือเปล่า? <br /><br />ส่วนคนอายุน้อยกว่า มีความกระหายอยากรู้ว่า อนาคตตัวเองจะเป็นยังไง การคบหากับคนอายุมากกว่า จะช่วยคลายปริศนาได้หรือมั๊ย? เพราะพี่เขา “ผ่านอะไรๆ” มาเยอะกว่ามากแล้ว? คนที่อายุน้อยกว่า กำลังแสวงหาความอบอุ่น หรือความปลอดภัย จากคนอายุมากกว่า หรือเขากำลังแสวงหาอะไรกันแน่? แล้วในทางตรงกันข้ามกันล่ะ?<br /><br />แล้วทั้งหมดนี้ มันจะมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ของชายรักชายยืนยาวขึ้นบ้างหรือไม่ หากมีอายุเป็นปัจจัย? <br /><br />ส่วนตัวผมแล้ว ผมคิดว่า มีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าค้นหา มีคำถามอีกมากมายรอคำตอบอยู่ อายุ รูปร่าง หรือหน้าตา อาจเป็นแค่เพียงตัวเลข?<br /><br />-end- <br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com9tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1163306507372938612006-11-12T11:33:00.000+07:002006-11-12T11:54:38.023+07:00เมื่อหมอบอกว่า...คุณไม่ใช่ผู้หญิง<a href="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/1600/cover_sample.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/320/cover_sample.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com<br />11-12 Nov 2006<br /><br /><strong>ราวยี่สิบปีที่แล้ว นักกรีฑาทีมชาติไทยคนหนึ่งกำลังฝึกซ้อมที่ประเทศเยอรมัน เพื่อเตรียมลงแข่งเอเชี่ยนเกมส์ เธอมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง พอกลับมาบ้านเกิด ตรวจเช็คดู หมอบอกว่า เป็นไส้เลื่อน!!</strong><br /><br />ไม่นานนัก “จรรยา ชะเอม” เข้าตรวจที่โรงพยาลบาลศิริราช หมอพบว่า ดูจากโครโมโซมแล้ว เธอต้องเป็นผู้ชาย!!! ในเวลานั้น พอหมอถามว่า เธออยากจะเป็นผู้หญิง หรืออยากจะเป็นผู้ชาย? ด้วยอะไรบางอย่างมาดลใจก็ไม่อาจรู้... <br /><br />เธอบอกไปว่า...อยากเป็นผู้ชาย<br /><br />ครั้นกลับไปบ้านเกิดก็ปรากฏว่า สิ่งที่เธอบอกเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ในเอกสารใบเกิด และเอกสารอื่นๆ ที่อำเภอ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเพศไปแล้ว และเปลี่ยนคำนำหน้าใหม่ ระบุว่า เธอเป็น นาย เลยต้องเปลี่ยนชื่อไปว่า “ยุทธนา ชะเอม” <br /><br />ถ้าคุณผู้อ่านได้ดูบันทึกสัมภาษณ์ คุณ “หนึ่ง” ในรายการตีสิบ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 คงแทบไม่เชื่อเลยว่า เรื่องราวพรรค์นี้เกิดขึ้นได้ยังไงกับชีวิตคนๆ หนึ่ง เดี๋ยวเป็นผู้หญิง เดี๋ยวเป็นผู้ชาย <br /><br />ยังไม่จบแค่นั้นครับ<br /><br />ตอนครบเกณฑ์ทหาร “หนึ่ง” (ขอหลีกเลี่ยงไม่ใช้สรรพนามว่า “เขา” หรือ “เธอ” นะครับ) ก็เลยต้องเข้าเกณฑ์เหมือนชายฉกรรจ์อื่นๆ จากการตรวจร่างกายถือว่าสมบูรณ์แบบพร้อมเกณฑ์อีกต่างหาก คืออยู่ประเภท ดี 1 ประเภท 1 ถึงเวลาจับสลาก โชคดี หนึ่งจับได้ใบดำ เลยไม่ต้องไปฝึกทหาร<br /><br />โชคชะตาเริ่มเล่นตลกอีกครั้ง เมื่อหนึ่งต้องแต่งงาน เรื่องของเรื่องคือ สมัยนั้นเข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำในกระทรวงแห่งหนึ่ง หนึ่งอ้างว่า ที่นั่น สนับสนุนให้ทุกคนมีครอบครัว แต่งงานมีหลักมีฐาน หนึ่งก็เลยขอให้ญาติห่างๆ คนหนึ่งมาจดทะเบียนด้วย และคนที่แต่งงานด้วยกับหนึ่งก็รู้ว่า หนึ่งไม่ได้ชอบผู้หญิงด้วยกัน แต่ชอบผู้ชาย<br /><br />ในเวลานั้น ในใจญาติคงสับสนไม่น้อยว่า คนที่ฉันแต่งงานด้วย เป็นเกย์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นอะไรกันแน่? เพราะคำนำหน้าหนึ่งเป็นนาย รูปลักษณ์ภายนอกดูเป็นผู้ชาย ท่าทางการเดินเป็นผู้ชาย เสียงทุ้มลึกแบบผู้ชาย แต่หนึ่งบอก ฉันชอบผู้ชาย<br /><br />“ในใจน่ะ หนึ่งชอบผู้ชายนะ ชอบตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว” หนึ่งให้สัมภาษณ์<br /><br />อีกสิ่งหนึ่งที่บอกหนึ่งว่า หนึ่งไม่ใช่ผู้ชาย หนึ่งไม่ใช่เกย์ และหนึ่งไม่ใช่กะเทยก็คือ อวัยวะเพศ ซึ่งอวัยวะเพศของหนึ่งเป็นผู้หญิง คุณวิทวัสเลยสัมภาษณ์ต่อเรื่อง หน้าอก และเรื่องประจำเดือน ก็ได้รับทราบว่า ตอนอายุ 14-15 ก็เคยมีประจำเดือน (พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ) และรู้สึกว่า ตัวเองมีหน้าอก<br /><br />“แต่พอเล่นกีฬามากขึ้นๆ ก็ดูเหมือนหน้าอกจะหายไป” <br /><br />ชะตาชีวิตพลิกผันอีกครั้งกับ การเป็นชาย/การเป็นหญิง คุณหนึ่งอ้างว่า ตอนทำงานในราชการนั้น งานหนักมากและต้องใช้เวลานานในแต่ละวัน เลยเริ่มใช้ยาบ้าช่วยกระตุ้น จนกระทั่งโดน “ล่อซื้อ” โดยเด็กคนหนึ่งที่เคยเป็นคนขายยาให้ มาเคาะประตูบ้าน แล้วบอกว่า จะขอซื้อยาคืน พอส่งไปให้เท่านั้นแหละ ไม่รู้ตำรวจโผล่มาจากไหน จากการเป็นแค่ผู้ซื้อ เลยโดนจับในข้อหาเป็นผู้ขาย<br /><br />หนึ่งต้องโทษ และอย่างที่เดาได้ล่ะครับ ถูกส่งไปอยู่เรือนจำชาย <br /><br />“พ่อก็พยายามวิ่งเต้น บอกใครๆ ว่า ลูกเป็นผู้หญิงนะ แต่ละวันผ่านไปต้องคิดเพิ่ม คิดหนักกว่าคนอื่น คิดระวังตัวเองเป็นสองเท่า คิดไปว่า ถ้าเป็นสาวประเภทสอง คงยังพอทน ยิ่งตอนอาบน้ำ กินข้าว ต้องระวังไปหมด จนผ่านไป 6-7 เดือนก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ต้องหาที่พึ่ง”<br /><br />หนึ่งบอกว่า ตัดสินใจขอพบผู้มีอำนาจหน้าที่ในนั้น เพื่อจะบอกว่า ตัวเองเป็นผู้หญิง สิ่งที่ทำให้คนๆ นั้นเชื่อในทีสุดก็คือ ถอดเสื้อผ้าท้าพิสูจน์ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ถึงกับอึ้ง เลยช่วยหาทางออกด้วยการให้นักโทษที่ประพฤติดีคนหนึ่งเป็นคนดูแลช่วยเหลือ<br /><br />ความใกล้ชิดจึงเกิดขึ้น แล้วสองคนก็ตกลงเป็นแฟนกัน<br /><br />ชีวิตของทั้งสองดำเนินไปนอกคุกแล้วในปัจจุบันนี้ สิ่งที่คุณหนึ่งเล่าต่อมาก็คือ แฟนหนุ่มอยากแต่งงานด้วยกัน แต่ด้วยสถานะของ “นายยุทธนา” จึงเป็นไปไม่ได้ ประกอบกับ หนึ่ง เล่าว่า อยากให้แม่บังเกิดเกล้า ยอมรับ เพราะหลังจากคลอดมาแล้ว แม่ก็ยกให้คนอื่นเลี้ยง เคยพบแม่หนหนึ่ง ซึ่งแม่ก็บอกว่า หนึ่งไม่ใช่ลูก เพราะตอนเกิด <br /><br />“ฉันมีลูกเป็นผู้หญิงนี่”<br /><br />จึงเป็นสาเหตุให้คุณหนึ่งติดต่อมาออกในรายการล่ะครับ ตามที่ให้สัมภาษณ์อย่างนั้น เพราะหนึ่งต้องการให้รายการเป็นสื่อช่วยให้ตัวเอง กลับไปใช้สถานะของผู้หญิงดังเดิม รายการตีสิบเลยช่วยจัดการให้หนึ่งไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาล<br /><br />ที่โรงพยาบาลเวชธานี (โดยคุณหมอมงคลชน ฎีระวณิชย์กุล) รายการแสดงภาพวิดีโอ: หนึ่งได้รับการตรวจอย่างละเอียด รวมทั้งขึ้นขาหยั่ง และแล้วก็ถึงเวลาสำคัญที่หมอจะเผยผลตรวจ ซึ่งทางรายการบันทึกภาพไว้ล่วงหน้าแล้ว หมอประกาศในรายการให้เจ้าตัว รายการ และผู้ชมฟังพร้อมๆ กัน ผลปรากฏว่า<br /><br />“มีโครโมโซม 46 XY เป็นผู้ชายแน่นอน!!!”<br /><br />มาถึงจุดนี้ ใครๆ ดูอยู่คงต้องอึ้งตามๆ กัน พร้อมกับไม่รู้ว่า จะรู้สึกยังไงดีกับกรณีนี้ คุณหนึ่งนั้น เริ่มจากหน้าถอดสีที่รู้ผล อ้าปากตาค้างเล็กน้อย และเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา หนึ่งพูดด้วยเสียงทุ้มๆ ว่า ที่ยอมไปตรวจที่เวชธานี เพราะ “มั่นใจ มั่นใจว่า ตัวเองเป็นผู้หญิง” <br /><br />ในส่วนท้ายๆ ของรายการ หนึ่งคุยกับคุณวิทวัสด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แบบคนผิดหวังลึกๆ ว่า “หนึ่งไม่เข้าใจเลย ไม่มีความสุขกับเขาเลย” <br /><br />และมีอีกส่วนหนึ่งที่ทางรายการจะพยายามสรุปก็คือ “คนเราเลือก ‘เกิด’ ไม่ได้ และ (ในกรณีนี้) เลือก ‘เป็น’ ไม่ได้อีกด้วย”<br /><br />คุณผู้อ่านที่เป็นชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง สาวประเภทสอง หรือคุณผู้อ่านที่เป็นชายหญิงทั่วไป อ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกอะไรบางอย่างเหมือนผมไหมครับ?<br /><strong><br />ตกลงแล้ว ความเป็นผู้หญิง ความเป็นเป็นผู้ชาย การมีเพศเป็นหญิง การมีเพศเป็นชาย ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหญิง ตัวเองเป็นชายนั้น <br />ใคร หรืออะไร เป็นตัวกำหนดกันแน่?</strong> <br /><br />ถ้าเรายึดว่า ใครที่มีโครโมโซมเป็น XY ถือเป็นที่สิ้นสุด คือ คุณต้องเป็นผู้ชาย ชีวิตของคนๆ หนึ่ง และอาจจะมีอีกหลายคนคงต้องอยู่กับความสับสน เพราะรู้สึกว่าตัวเองประหลาด พวกเขาคงต้องทนทุกข์ระทมตลอดทั้งชีวิตทั้งๆ ที่จิตใจตัวเองเป็นผู้หญิงอย่างงั้นหรือ?<br /><br />ใครกันนะที่บอกว่า คนเราต้องหัดดูแลสุขภาพกันให้ดี ทั้งสุขภาพกาย และใจ?<br /><br />ในกรณีคุณหนึ่ง ในเมื่อชัดเจนแล้วว่า มีจิตใจเป็นผู้หญิง เจ้าตัวเอง เลือกเองไม่ได้หรือว่า จะเป็นอะไร?<br /><br />เดิมทีในวงการสาธารณสุขจะเรียกกรณีคุณหนึ่งว่า เป็น “กะเทยแท้” หรือ “hermaphrodite” แต่ในระยะหลังนี้มีศัพท์ใหม่ขึ้นมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดทอนความรู้สึกลบๆ จากคำว่า hermaphrodite ลง โดยใช้คำว่า Intersex หรือ Intersexual แทน ซึ่งหมายถึง บุคคลที่เกิดมามีอวัยวะเพศไม่ชัดเจนว่า เป็นหญิง หรือชาย <br /><br />คุณหนึ่งนั้นเป็นตัวอย่างที่น่าศึกษาครับ คุณหนึ่งไม่มีมดลูก มีอวัยวะเพศที่เด่นคือ อวัยวะเพศหญิง มีช่องคลอด แต่เล็ก และก็มีส่วนเล็กๆ คล้ายองคชาติติดอยู่ด้วย ในกรณีคล้ายกันนี้ ในต่างประเทศศึกษากันมานานพอควร <br /><br />อย่างเรื่องของคุณ Cindy Stone ซึ่งเป็นอาจารย์หญิงสอนวิชาด้านเพศศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอินเดียน่า ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็น Intersex ซึ่งเธออยากจะเรียกว่า Disorders of Sex Development หรือ DSD มากกว่า เธอไม่ได้มีโครโมโซม XX เหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่เธอมีโครโมโซม Y ด้วย <br /><br />และอีกอย่างที่สำคัญคือ เธอมีลูกอัณฑะซึ่งอยู่ภายในร่างกาย เธอไม่มีรังไข่ และไม่มีมดลูก เธอไม่รู้ตัวมาก่อนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกระทั่งเธอสงสัยว่า ทำไมไม่มีประจำเดือนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่ตอนนั้น อายุ 17 ไปตรวจแล้ว หมอบอกว่า เธอมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับอวัยวะภายใน เธอมีลูกไม่ได้<br /><br />เรื่องที่เราๆ ท่านๆ อาจไม่เคยรู้เลยก็คือ นักวิจัยในอเมริกาบอกว่า คนที่เป็น Intersex นั้น พบได้ในเด็กแรกเกิดในอัตรา 1 คน ทุกๆ 1,000 คน หรือทุกๆ 2,500 คน และต่อมามักจะมีการผ่าตัด ปรับแต่งเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เด็กคนนั้นเป็นหญิง หรือชาย<br /><br />คำถามก็คือว่า แล้วถ้าเด็กคนนั้น มีจิตใจเป็นเด็กผู้ชาย แต่อวัยวะที่ชัดเจน กลับเป็นอวัยวะเพศหญิงล่ะ จะทำอย่างไร? พ่อแม่ส่วนใหญ่เลยกลายเป็นผู้ต้องตัดสินใจให้ลูก ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า ลูกตัวเองอยากเป็นหญิง หรือเป็นชาย ตอนที่เขาโตแล้ว<br /><br />กรณีนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วเหมือนกันครับ และโด่งดังมากทีเดียว เรียกกันในวงการว่า กรณี Joan/John คือ นายจอห์น ไม่ได้เป็น Intersex นะครับ แต่มีเรื่องทำนองเดียวกัน คือ ตอนเกิดมาได้แปดเดือน หมอก็ขลิบอวัยะเพศให้ แต่ทำพลาดครั้งใหญ่ เลยทำให้อวัยวะเพศของทารกน้อยเสียรูปใช้การอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากไว้ขับถ่ายปัสสาวะ พ่อแม่ก็พยายามหาทางแก้ไขอย่างสุดความสามารถ ในที่สุด ที่ศูนย์แพทย์ของมหาวิทยาลัย จอห์นส์ ฮอฟกินส์ อันโด่งดัง มีหมอคนหนึ่ง ก็แนะนำว่า <br /><br />งั้นก็ให้หนูน้อยคนนั้นเป็นผู้หญิงไปเลยแล้วกัน<br /><br />จริงๆ แล้ว นายจอห์นมีฝาแฝดเหมือนอยู่คนหนึ่ง ทางบ้านเลยต้องปกปิดความจริงไว้ซะมิดชิด ก่อนหน้านั้นทางศูนย์แพทย์ก็ช่วยปรับสภาพร่างกายเขาด้วยการให้ฮอร์โมนเป็นเวลาหลายปี รวมทั้ง “ล้างสมอง” เขาด้วยว่า เขาเป็นผู้หญิงนะ แต่พออายุราว 17 ปี เขาเริ่มไม่ไหวแล้ว จึงเค้นความจริงจากบุพการี และค้นพบว่า ตัวเองเป็นผู้ชาย<br /><br />ปัจจุบัน คุณจอห์น แต่งงาน และรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และใช้ชีวิตแบบผู้ชายทั่วไป<br /><br />สำหรับคุณหนึ่ง ผมขอเอาใจช่วยนะครับ ให้ต่อสู้ต่อไป และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ผู้คนในสังคมของเราจะเริ่มหันมามองเรื่อง เพศสภาพ เพศวิถี และสิทธิมนุษยชนกันมากขึ้น และเราอาจจะหลุดพ้นจากตัวกำหนดชะตาชีวิตที่เราไม่ได้เป็นผู้เลือก<br /><br />-end- <br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com12tag:blogger.com,1999:blog-19976563.post-1162701372714749912006-11-05T11:22:00.000+07:002006-11-05T11:36:13.086+07:00Open Relationship…ยังไง?<a href="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/1600/rafaellazzini-5.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/4446/1988/320/rafaellazzini-5.jpg" border="0" alt="" /></a>เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com Nov 4-5, 2006<br /><br /><strong>ไม่ว่าใครที่มีแฟนเป็นตัวเป็นแล้ว จะอยู่บ้านเดียวกัน หรือยังคงแยกกันอยู่ สักวันหนึ่งคงต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า “ฉันไปมีอะไรกับคนอื่น ได้ไหม?”</strong><br /><br />แล้ว...ถ้าเป็นกรณีนี้ล่ะ “เราต่างคนต่างไปมีอะไรกับคนอื่น จะได้ไหม?”<br /><br />สำหรับเพื่อนฝูงของพวกเขา หรือใครๆ ที่ได้ยินอย่างนั้นก็คงจะตั้งคำถามตามมาว่า งั้น...เอ็งสองคนจะเป็นแฟนกันไปทำไม ในเมื่อต่างคนก็ยัง “อยาก” จะมีอะไรกับคนอื่น?<br /><br />ผมเชื่อว่า พอมาถึงจุดนี้ คุณผู้อ่านของผมคงเสียงแตกเป็นสองฝ่ายแน่ๆ และมีหลายกรณี อย่างในกลุ่มเพื่อนฝูงผมเอง ประเด็นนี้จะเผ็ดร้อนราวๆ กับเรื่องการเมือง และเรื่องศาสนา ที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่า แนวทางของตัวเองเหนือกว่า งั้นก่อนที่จะแตกกันไปมากกว่านี้ ขอให้ผมเรียกคุณๆ ฝ่ายหนึ่งว่า กลุ่มรักที่จะปิด (Closed Relationship) และคุณๆ อีกฝ่ายว่า กลุ่มรักที่จะเปิด (Open Relationship) ละกัน<br /><br />จากที่พบมา ผมเชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายท่านก็คงจะเหมือนผมที่มักจะเจอประชากรของทั้งสองกลุ่มอยู่เสมอๆ แล้วคุณเคยสังเกตไหมว่า ประชากรของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างกันยังไง? <br /><br />โดยปกติ คนเราย่อมมีทัศนคติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในการครองคู่ และทัศนคติเรื่องเพศสัมพันธ์แตกต่างกันอยู่แล้ว กลุ่มปิดจึงมักจะโดนเรียกว่า เป็นพวก Conservative หรือพวกหัวเก่าที่ยึดมั่นถือมั่นในกฎกติกาที่ว่า การมีใครสักคนเป็นคู่เป็นตัวเป็นตน ก็ควรซื่อสัตย์ และรักเดียวใจเดียว ห้ามไปข้องเกี่ยวกับใครตลอดไป คนกลุ่มนี้มักจะรักแบบโรแมนติก บ้างก็มีหลักการบางอย่างที่น่ายกย่องในการควบคุมตัวเองไม่ให้ไปเหล่ใครๆ<br /><br />ส่วนกลุ่มเปิด ที่ผมพบนะครับ คือคนที่มักจะมีประสบการณ์ท่องไปในโลกกว้างมามากแล้ว รักอิสระ ชอบท้าทายกฎเกณฑ์ บางครั้งก็ชอบหาเรื่องใส่ตัว กลัวชีวิตจะอยู่กับที่ เป็นผู้แสวงหาความแปลกใหม่เสมอ ดูผิวเผินแล้ว เป็นบุคคลที่น่าถูกตำหนิ เพราะไม่ต้องการรับผิดชอบ เพราะอยากจะมีเซ็กซ์กับใครๆ ไปเรื่อยๆ อยากเหมือนแสวงหาไม่จบสิ้น <br /><br />คนกลุ่มนี้มักจะมีประสบการณ์การมีคู่มาก่อน และเข้าใจไปว่า การยึดมั่น หรือยึดติดอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า กระนั้นพวกเขาก็ยังยืนยันว่า ต้องการมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักคน แต่ไม่สัญญาว่า จะไม่ไปมีอะไรกับคนอื่น<br /><br />ความคิดเรื่อง รักเดียวใจเดียว กับมีรักกับคนๆ เดียว-แต่ขอมีอะไรกับคนอื่นด้วยนี้ มีอิทธิพลทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องมากนะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่ไม่ได้เป็นเกย์ และเลสเบี้ยนคงไม่ค่อยได้รู้สึกในแง่นี้<br /><br />ชายรักชายหลายๆ คนที่ผมพบ มักจะมองว่า ในเมื่อสังคมกระแสหลักตั้งเงื่อนไขว่า รักเดียวใจเดียวเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง และให้คุณค่ากับคู่ที่ “monogamy” มาก (แต่มักไม่ค่อยตั้งประเด็นเรื่อง สามีชอบไปอาบอบนวด หรือไปเที่ยวใช้บริการ) การที่คนๆ หนึ่งเป็นคนรักชอบเพศเดียวกัน หรือเรียกว่าเป็นพวก “outcast” (พวกนอกคอก) ของสังคมอยู่แล้ว “จะไปใช้ชีวิต และปฏิบัติตัวตามกระแสหลัก และให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ เหมือนสังคมกระแสหลักทำไม?”<br /><br />คนกลุ่มนี้จะพยายามทำอะไรที่แตกต่างที่คิดว่าจะแหวกกระแส และต้องการแหกคอกร่ำไปในแทบทุกเรื่อง ในขณะเดียวกันก็จะถูกตั้งแง่จากคนกลุ่มแรกที่เป็นคนกลุ่มปิดว่า พวกแกเป็นพวกไม่รักดี สำส่อน และมักมาก<br /><br />แม้จะอยู่คนละขั้ว แต่คุณเชื่อไหมครับว่า คนทั้งสองกลุ่มมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน? นั่นคือ...ความกลัว<br /><br />คนกลุ่มแรกมีความกลัวและความหวาดระแวงอยู่เสมอว่า คู่ของตนจะแอบไปมีคนอื่น กลัวว่า เขาจะไปเจอคนที่ดีกว่า กลัวว่าตัวเราจะสู้ไม่ได้ ยิ่งถ้าคุณได้แฟนที่ดูดีมีเสน่ห์เหนือกว่าคุณ เป็นที่ต้องตาของหนุ่มโต๊ะข้างๆ ในผับ คุณจะยิ่งหวาดผวามากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ควรปิดประตูตายเสียเลยว่า ห้ามไปมีอะไรกับใครคนอื่นเด็ดขาด <br /><br />ขณะที่คนกลุ่มที่สอง ก็มีความกลัวเหมือนกัน พวกเขากลัวว่า การมีสัมพันธ์กับคนเพียงคนเดียว ทำให้อิสระที่เคยมีสูญเสียไป แต่ลึกๆ แล้ว จากรายงานการวิจัยบางฉบับก็ชี้ว่า คนประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้ว มักจะกลัวความรู้สึกใกล้ชิด กลัวความรู้สึกผูกพันกับใครคนหนึ่งที่เพิ่มพูน เพราะความใกล้ชิด เปิดอก เปิดทุกสิ่งทุกอย่างในตัวมนุษย์คนหนึ่งจะนำพาให้เขาต้องเปิดเผยความรู้สึกที่เก็บลึกอยู่ก้นบึ้ง<br /><br />ความใกล้ชิดกับใครมากๆ จะไปกระชากตัวตนที่แท้จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไปเปิดไฟให้ด้านมืดของตัวเองสว่าง น่ากลัวมากโดยเฉพาะเมื่อเปิดไฟแล้ว ตัวฉันเองก็ต้องเผชิญหน้ากับมันด้วย มันอาจจะไม่สวยงาม และไม่อยากยอมรับ ซึ่งนั่นอาจจะนำมาซึ่ง “การปฏิเสธ” และรู้สึกว่า ตัวเองล้มเหลว<br /><br />คุณลองนึกดู การถูกปฏิเสธเกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตของคนเรา สำหรับชีวิตของเกย์ส่วนใหญ่ ก็...แทบทุกเรื่องตั้งแต่เริ่มจำความได้ คุณโดนปฏิเสธไม่ให้เล่นกับเด็กผู้หญิง บางคนก็โดนปฏิเสธไม่ให้ลองใส่เสื้อผ้าของพี่สาว บางคนก็โดนปฏิเสธไม่ให้แสดงความอ่อนแอต่อหน้าธารกำนัล ห้ามเด็ดขาด ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว หมายถึงว่า คุณกำลังโดนปฏิเสธไม่ให้ “เข้าถึง” ตัวตนที่แท้จริงของคุณเอง เราจึงไม่เคย “สำรวจ” ตัวตนของเราเพื่อรู้จักมันให้ถ่องแท้ แต่เราต้องเก็บกดมันไว้ หรือเอามันไปซ่อนไว้ซะ<br /><br />คนเราจึงสะสมความรู้สึกกลัวที่จะถูกปฏิเสธมาแทบทั้งชีวิต สำหรับบางคน เมื่อใดที่ความสัมพันธ์ของคุณเริ่มสุกงอม เริ่มมั่นคง เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พวกเขาก็กลับรู้สึกว่า สักวัน มันต้อง “มีเหตุ” ให้คุณไปไม่ถึงจุดนั้นเสียที <br /><br />ความจริงแล้ว อาจจะเป็นตัวคุณเองนั่นแหละที่เป็นคนเลือกและพอใจให้จิตใต้สำนึกสร้างปมปัญหาให้กับความสัมพันธ์ของตน เพียงเพราะคุณยังไม่เคยเข้าถึงความกลัวอันนั้นอย่างถ่องแท้ ไม่เคยเอาไฟไปส่องดูมัน มันจึงกลับมาเล่นงานอีกครั้ง และอีกครั้ง จนทำให้คุณไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่คบอยู่ด้วยจะดูด้วยกันได้ยาวนาน<br /><br />ด้วยเหตุนี้ รักของเกย์จึงมักจะล่มกันง่ายๆ? <br /><br />เมื่อมองในความเป็นจริงอีกด้าน ความกลัวเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับผู้ชายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายทั่วไป หรือชายเกย์ เพราะผู้ชายก็คือเป็นมนุษย์พันธุ์ที่จะไม่นิยมพูดเรื่องราวอะไรที่อยู่ในใจลึก ๆ พวกเขาคือพวกที่ไม่ต้องการแสดงความรู้สึกภายในให้ใครรับรู้<br /><br />ผมเชื่อว่า หลายๆ คู่ที่อยู่ด้วยกัน มักจะพบว่า คนหนึ่งจะเป็นคนที่แสดงความรักใคร่อาทร ห่วงใย และคร่ำครวญได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่จะมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ทำอย่างนั้น บางครั้งเหมือนอยู่คนละขั้ว อยู่คนละโลก<br /><br />เราจึงหาคำตอบไม่ได้เสียทีว่า ทำไมบางคนถึงอยู่กันได้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่าย หรือต่างฝ่ายก็ไปมีอะไรกับคนอื่น แล้วทำไมบางคู่ถึงต้องบอกเลิกทันที เมื่ออีกฝ่ายเกิดไปมีอะไรกับคนอื่น-แม้เพียงครั้งเดียว<br /><br />เราคงยังหาข้อมูลตรงนี้ไม่ได้ว่า ในสังคมชายรักชาย ฝ่ายไหน ระหว่าง ฝ่ายปิด และฝ่ายเปิดจะประสบความสำเร็จมากกว่ากันในการรักษาชีวิตคู่ คุณเอง คงต้องตกลงกันให้ชัดเจนว่า คุณต้องการแบบไหน ก่อนที่คุณจะเริ่มสัมพันธ์กับใครๆ อย่างจริงจัง และคู่ที่คบกันมาพอสมควรแล้ว ก็คงต้องเจอคำถามนี้เช่นกันเมื่อเวลาผ่านไป?<br /><br />แต่ก่อนที่คุณจะทำใจไปเปิดประเด็นนี้กับคู่ของคุณ ผมคิดว่า คุณต้องถามตัวเองอีกคำถามหนึ่งก่อนว่า <br /><br />คุณกลัวที่จะเผยความรู้สึกลึกๆ ของคุณกับคนๆ นั้นของคุณหรือเปล่า? <br /><br /><strong>บอกต่อกันไป</strong> : ใครว่างวันอาทิตย์ ราวห้าโมงเย็น ไปให้กำลังใจ กับผู้ร่วมขบวนเฮฮาประจำปี Pride Parade ที่ถนนสีลม <br /><br />-end- <br /><br />All rights reserved.Vitaya S.http://www.blogger.com/profile/03036405031692637759noreply@blogger.com8