Sunday, May 14, 2006

ความเป็นจริงกับความทรงจำ

เลิกแอบเสียที/วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ.ผู้จัดการวันเสาร์

vitadam2002@yahoo.com

13-14 May 2006

“ว่างหรือเปล่าครับ มีเรื่องปรึกษาหน่อยครับ”เสียงร้อนรนของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งดังผ่านมาทางโทรศัพท์ แม้จะร้อนรนเสียงของเขาก็ยังคงทุ้มนุ่มหล่ออยู่

ปกติ ‘พี่กฤษณ์’ ไม่ค่อยโทร. มาคุยตอนเวลาทำงาน และนานๆ ทีเราจะได้คุยกันแบบยาวๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เรื่องข่าวสารบ้านเมือง แต่ทุกครั้งที่โทร. กันจะต้องมีเรื่องได้หัวเราะกันตลอด

แต่ ณ เวลานี้ ไม่เหมาะแน่ที่จะเสวนากับเขา ไม่ว่าจะเรื่องใด เพราะเบื้องหน้าผมมี deadline ให้ผมร้อนรนอยู่ไม่แพ้กัน ถ้าผมทำงานชิ้นนี้ไม่เสร็จ ผมเองคงต้องเสร็จแน่ๆ

“เรื่องไร ไว้คุยทีหลังได้เปล่า ยุ่งอยู่” ผมตอบแบบไม่ลังเลเลย

แต่หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ผม “crazy” เขาเอามากๆ ผมคงละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา ขนาดต้องเปลี่ยนตารางเดินทาง ต้องจองเครื่องบินอีกลำที่อยู่นอกเส้นทาง นั่งรถไฟอีกหลายชั่วโมงเพื่อจะแวะไปหาเขาเพียงหนึ่งคืน หรือตอนที่เขาอยู่ใกล้ๆ แค่ได้เดินผ่านหน้าบ้านเขาเพื่อยิ้มให้กับหลังคาบ้าน ผมก็ทำมาแล้ว-นะ คุณๆ ก็คงเคยทำเหมือนกันแหละน่า

“พอดีเพื่อนมีปัญหาน่ะครับ” พี่กฤษณ์ยังคงยื้อ และราวกับจะรู้ว่า ผมกำลังจะรีบจบบทสนทนา เขารีบพูดแซงขึ้น “เพื่อนมันโดนเกย์จีบอยู่ ไม่รู้ทำไงดี”

ผมชักสนใจขึ้นมา แต่อีกห้วงความคิดหนึ่งก็บอกว่า เดี๋ยวก่อน ไม่เห็นจะเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตเลย จนเขาให้ข้อมูลต่อนั่นแหละ “เพื่อนมันเป็นหนัก ถึงขึ้นจับไข้ ไม่สบาย”

“ขนาดนั้นเชียว ทำยังกับโดนผีหลอก” ผมหัวเราะหึๆ ใส่หูโทรศัพท์

อะไรกัน? แค่โดนเกย์จีบถึงขั้นจับไข้ เกย์นะไม่ใช่ผีนะเฟ้ย ผู้ชายอารัย? หรือเป็นผู้ชายสายรุ้งแต่กลัวคนรู้? ผมคิดไปเรื่อย แต่ยังไงๆ ผมคงไม่คุยเรื่องนี้กับเขาตอนนี้หรอกต่อให้เขาหล่อน่ารักมากกว่านี้ ผมแน่ใจตัวเอง ส่วนเขาก็คงแน่ใจเหมือนกัน พอผมพยายามบอกเขาว่า พรุ่งนี้เย็นๆ เป็นเวลาดีที่จะคุย เขาก็ยังคงคะยั้นคะยอไม่เลิกว่าขอเป็นวาระด่วน

คุณผู้อ่านคงเดาได้นะครับว่า ในที่สุดใครเป็นฝ่ายใจอ่อน...

คนชื่อกฤษณ์อาจเป็นความทรงจำเลือนๆ ของคุณผู้อ่าน

ผมเคยเขียนถึงเขาหนหนึ่งสักสองปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นตัวละครหลักในเรื่องที่เขียนถึง (ในหนังสือรวมเล่ม ‘รุกรุกรับรับครับผม’ อยู่หน้า 97 ตอน “ไว้ก่อนแล้วกัน” –เมื่อเพื่อนสาวออกทอมบอยโทร. มากวนใจอย่างไม่ทันตั้งตัวขณะผมกำลังจะสวาปามกระเพราไข่เยี่ยวม้า แล้วหล่อนก็ยิงคำถามเป็นพรวนกวนใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเขาคนนี้นี่แหละเป็นคนส่งโทรศัพท์ต่อสายหล่อนมาถึงผม)

คุณอาจจะนึกไม่ออกอยู่ดี

เอางี้ ถ้าคุณเคยมีเพื่อนรุ่นพี่ร่วมสถาบันคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตามที่คุณเคยคลั่งไคล้ทั้งความหล่อ (หรือความสวย) นิสัยแสนดี และน่ารักแล้วละก็ นั่นแหละแบบพี่กฤษณ์เลย

ส่วนบางคนก็อาจนึกถึงฮีโร่ประจำตัวสักคน เขาหรือเธอคนนั้นก็มักจะหนีไม่พ้นคนใกล้ตัวอย่างเพื่อนรุ่นพี่ หรือเพื่อนร่วมห้องที่เรานิยม ยิ่งคนเป็นนักกีฬา และมีความเป็นผู้นำ ใครๆ ก็ย่อมชื่นชม นั่นแหละก็แบบพี่กฤษณ์เลย

สำหรับฮีโร่ของผมคนนี้ ผมเองเคยรู้สึกกับเขาขนาดเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่

รู้สึกเหมือนกำลังนั่งเล่นแผ่นหนังเรื่องที่เคยดูมาแล้ว...

ตอนนั้นผมลงทุนเปลี่ยนเส้นทางเดินทางเพื่อแวะไปเยี่ยมเขาในปีที่เขาเรียนป.โทใบที่สองอยู่ และแล้วยามที่ผมได้อยู่กับเขาสองต่อสอง ในคืนนั้นผมก็เรียนรู้โลกมากขึ้นเมื่อผมโดนปฏิเสธ

ผมเดินทางจากมาในวันรุ่งขึ้นพร้อมหัวใจเหี่ยวๆ

แล้วชีวิตน้ำเน่าของผมก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อผมพยายามซับน้ำตาตัวเองด้วยเพลงๆ หนึ่งของพี่แอม เสาวลักษณ์ เพื่อนๆ พากันสงสัยว่า คนไม่มีแฟนอย่างผม ทำไมผมถึงหน้าซึมๆ เหมือนอกหัก แต่ผมจะเล่าให้ใครได้ล่ะ ก็ผมยังแอบอยู่นี่

ตอนนั้น ผมมีช่วงเวลาฟุ้งเหลือเฟือเลยล่ะครับ เกือบทั้งอาทิตย์กับ “ความทรงจำ” ขมขื่นหมาดๆ จนผมไม่อาจทำอะไรอื่นนอกจากนั่งแปลงเนื้อเพลงๆ นี้เป็นภาษาอังกฤษ-ซะพริ้ง ตอนนั้นผมยังคิดว่าน่าจะส่งให้พี่แอมทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเชียวนะ

แต่ตอนนี้ เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาคลั่งไคล้ ตกใจ เสียใจ และหูตาสว่างแล้ว ผมทำใจได้แล้ว ผมเป็นเพื่อนกับพี่กฤษณ์ได้โดยไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว-จริงๆ

แล้วเรื่องเพื่อนของพี่กฤษณ์ก็เปิดฉากขึ้นแทน

พี่กฤษณ์เล่าให้ฟังต่อในยามสายๆ ของวันเดียวกันว่า เพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่ง (สมมุติชื่อนาย เอ-คนไทย) เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเพื่อนชายคนหนึ่ง (นายบี-ซึ่งเป็นฝรั่ง) จีบอยู่ ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ

ก่อนหน้านี้ นายเอได้ยินมาว่า นายบีเคยเข้าหาเพื่อนฝรั่งอีกคนที่อยู่นอกกลุ่ม แต่แล้วก็โดนปฏิเสธมา จึงทำให้นายเอมั่นใจว่า นายบีคือชายรักชายอย่างแน่นอน และพฤติกรรมเอาอกเอาใจของนายบีก็เกินกว่าความเป็นเพื่อน ตอนนี้นายเอ (ซึ่งยืนยันว่า ไม่ได้ชอบผู้ชาย) ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไม่อยากให้นายบีต้องเสียใจ

ฟังดูไม่น่าจะยากนะครับ ประเด็นปัญหาหลักน่าจะอยู่ที่นายเอเองนั่นแหละ

จากคำบอกเล่าของพี่กฤษณ์ นายเอเป็นผู้ชายพันธุ์หายากคือ สุภาพมาก (จนผู้หญิง และเกย์อดใจไม่ได้ จนต้องเข้าหาไง) ผมเลยถามพี่กฤษณ์เพื่อให้แน่ใจว่า สุภาพแบบพี่กฤษณ์เลยหรือเปล่า?

เขาบอกว่า นายเอสุภาพสุดๆ ไม่เคยพูดจาว่าร้ายใคร ช่วยเหลือเพื่อนฝูงตลอด และที่สำคัญ เขาไม่อยากทำร้ายความรู้สึกนายบี ขณะเดียวกันนายเอก็ไม่แน่ใจเอามากๆ เหมือนกันว่า หากปฏิเสธไป จะมีผลยังไงกับตัวเขาเอง เพราะทั้งสองนั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน ต้องเจอหน้ากันทุกวัน

“แต่อึดอัดไม่สบายใจถึงขั้นจับไข้เนี่ยะ มันไม่ธรรมดาแล้ว” ผมพูดขึ้น “ผมว่า คงต้องหาเวลาเหมาะๆ แล้วล่ะ นายเอนั่นแหละต้องกล้าๆ ลองเปิดใจคุยกับนายบีนะครับ สงสัยเป็นพวกผู้ชายขี้กลัว”

“แล้วเขาจะไม่เสียใจเหรอ” พี่กฤษณ์ออกอาการสุภาพบุรุษ (เกินเหตุ) อีกจนได้

ผมได้ยินเพลงความทรงจำอีกครั้ง

แล้วเครื่องเล่นหนังแผ่นก็ทำงานต่อ

สมัยเรียน ผมคิดอยู่เสมอว่า พี่กฤษณ์คง “มีใจ” ให้ผม ไม่งั้น เขาจะดีกับผมอย่างนั้นตลอดเวลาเหรอ? ยามนั่งคุยกับเพื่อนๆ เขาก็จะคอยมานั่งข้างๆ ผมทุกครั้ง บางครั้งก็เอามือมาโอบไหล่ผม เขาจะไม่รู้ตัวได้ไงว่ามือตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ในเมื่อมันวางอยู่บนไหล่ผมซะนานขนาดนั้น เขายังรับโทรศัพท์ผมทุกครั้ง ตอนนั้น ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องอยากจะมีอะไรกับเขาเลย มันเป็นความอบอุ่นที่บอกไม่ถูก แต่ผมยังแอบอยู่นี่ ใครจะกล้าพูดความจริง

อนาคตของผมกับเขาคงไม่กลายเป็นอะไรอื่นนอกจากความทรงจำ

แม้ตอนที่เรียบจบแล้ว ผมก็ยังคบหากับเขาอยู่ เขาไปทำงานอะไร ผมก็คอยเป็นห่วง ผมเก็บความรู้สึกดีๆ ต่างๆ มาไว้ในใจเงียบๆ กระทั่งวันที่ผมรู้ความจริงว่า เขา “ไม่ใช่” ก็ในคืนวันนั้นนั่นแหละ ยามที่อากาศเหน็บหนาว...ผมต้องสารภาพกับท่านผู้อ่านว่า ผม “เข้าหา” เขาก่อนโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่า อะไรคือผิดหรือถูก รู้แต่ว่า ผมทนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้อีกแล้ว ผมต้องรู้ให้ได้ว่า เขารู้สึกยังไงกับผม แล้วผม...

“ก็คงต้องเจ็บมั้ง”

ผมพูดตอบเขาไปในบทสนทนาต่อมาทางโทรศัพท์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผมกำลังพูดถึงตัวเองหรือกำลังพูดถึงนายบี แต่ผมก็พูดต่อ

“ก็นายบีน่ะ เคยโดนปฏิเสธมาแล้วไม่ใช่เหรอ เขาคงรู้ดีว่า มันรู้สึกยังไง มันเป็นเรื่องธรรมดานะที่จะเจ็บ” ผมบอกพี่กฤษณ์ไปอย่างหนักแน่น

“แล้วจะไม่เสียเพื่อนไปเหรอ” พี่กฤษณ์ถาม

ตอนนี้ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า ไม่เห็นเป็นไรเลยจริงๆ ในเมื่อคนมัน “ไม่ใช่” ก็ “ไม่ใช่” และผมอยากจะบอกเขาอีกด้วยว่า แล้วอย่างตอนนี้ล่ะ เราสองคนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอหลังจากเรื่องนั้นเกิดขึ้น? ผมไม่รู้ว่า เขาเข้าใจหรือเปล่าว่า ผมก็กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“เอ่อ..พี่ครับ ผมว่า การที่คนเราพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไปน่ะ ดีกว่าไม่ยอมพูดแล้วให้อีกฝ่ายเก็บไปคิดผิดๆ เอาเองนะครับ มันเสียเวลานะพี่” แล้วผมก็รีบฟังธงไปก่อนที่เพลงความทรงจำจะหวนมาอีก

“ผมว่า เพื่อนพี่น่ะ ควรหัดเปลี่ยนทัศนคติซะใหม่ ในเมื่อมันชักจะเลยเถิดแล้ว ก็ควรจะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำไมไม่ลองนัดคุยกัน แล้วบอกว่า รู้สึกดีแค่ไหนที่มีเพื่อนอย่างคุณ แต่ความสัมพันธ์ของเราสองคน คงไม่ไกลไปกว่าคำว่า เพื่อน แต่ยังไงๆ ผมก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณอยู่นะ”

ฟังดูไม่ยากนะครับ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่า มันเป็นคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของนายเอและนายบีหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่า ทุกปัญหาย่อมต้องมีทางออก ซึ่งอย่างน้อย ก็ดีกว่าจะปล่อยให้สถานการณ์ผ่านไปเรื่อยๆ แล้วนายเอจะต้องจับไข้ไม่สบายไปอีก ส่วนนายบีก็เป็นฝ่ายเฝ้าละเมอเพ้อพกว่า นายเอคงมีใจให้เหมือนกัน “เพียงแต่ยังไม่กล้าแสดงออกเท่านั้นเอง” ละถ้าเกิดนายบีมีความรู้สึกให้นายเอมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนที่เขาโดนปฏิเสธซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ในอนาคต เขาอาจจะเจ็บกว่าตอนนี้ในปัจจุบัน

ผมไม่รู้ว่า คำแนะนำของผมช่วยใครกันแน่ ระหว่างนายเอและนายบี

ผมคิดว่า การถูกปฏิเสธย่อมเจ็บปวดเป็นสามัญ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ถูกปฏิเสธทุกคนก็ต้องขอบคุณผู้ที่พูดความจริงออกมา เหมือนที่ผมรู้สึกขอบคุณพี่กฤษณ์อยู่ทุกวันนี้ที่ทำให้ผมไม่เสียเวลาและเสียใจมากไปกว่านั้น

ตอนนี้ ผมคิดว่า เพลงความทรงจำน่าจะเป็นประโยชน์กับนายบีนะ

-end-

All rights served.

8 comments:

Anonymous said...

สวัสดีค่ะ พี่วิทย์ เราเห็นด้วยนะคะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายก็น่าจะบอกกันตรงๆไปเลย ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เหมือนเป็นการให้ความหวังค่ะ พี่วิทย์ เราส่งเมล์ไปให้ตั้งแต่วันศุกร์ อ่านด้วยนะคะ

Anonymous said...

พรค่ะ แอบตามจากเมล์พี่มา อิอิ

เย้ๆ จะได้อ่านบทความพี่สักที เพราะในเวบผู้จัดการไม่อัพมานานแล้ว

ชอบอ่านแนวคิดของพี่มากๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

Anonymous said...

ใครๆ ต่างก็ต้องเคยเรียนรู้กับความทรงจำที่ไม่ได้สวยงามเสมอ แต่ไม่รู้ว่าการที่เรายังจดจำภาพอดีตทุกๆ อย่างไว้นั้น มันจะเป็นบทเรียนสอนใจ หรือ อาวุธที่คอยทำร้ายเรากันแน่

Anonymous said...

คนที่ผมสนใจ(เค้าก็เป็นเกย์) เค้าไม่ได้ปฏิเสธผมโดยตรงหรอก แต่ว่าเค้าพาแฟนมาให้เห็น ผมก็เลยกินแห้ว เสียใจประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วเป็นปกติ อิอิ

Anonymous said...

Sawasdee P'Vit..
Hi everyone....การถูกปฏิเสธย่อมเจ็บปวดเป็นสามัญ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ถูกปฏิเสธทุกคนก็ต้องขอบคุณผู้ที่พูดความจริงออกมา ...I totally agree with this idea cos he can not hide the truth forever..

ทำให้ไม่เสียเวลาและเสียใจมากไปกว่า .Another one could be recovery very soon, don't waste time and feeling.By the way, he may see a right one in the near future...

Anonymous said...

ผมว่าเรื่อง "ความรัก" เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ อยู่ที่ว่า อุปสงค์จะสอดคล้องกับอุปทาน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นรักคงสมหวัง

ผมเข้าใจว่านายเอก็คงอึดอัดครับ จากหลายๆสาเหตุ 1.กลัวว่าถ้าปฏิเสธไปแล้วนายบีจะเสียใจ
2.กลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว ความเป็นเพื่อนก็อาจจะสิ้นสุดลง - - - อาการแบบนี้มักเรียกกันว่า "มองหน้ากันไม่ติด"

แต่ผมว่าการบอกความจริงไปเลยเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ เพราะดีทั้งสองฝ่าย นายบีก็จะได้เลิกฝัน นายเอก็สบายใจที่ได้บอกไปแล้ว


P.S.1."เขาอาจจะมีสิทธิ์ที่ไม่รักเราได้ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่ห้ามเรารักเขาไม่ได้"
P.S.2.รู้สึกว่าเพื่อนใหม่ๆจะเข้ามาคอมเมนต์เยอะนะครับ หวัดดีเพื่อนเก่า+เพื่อนใหม่ นานาณุแฟนบ็อคนี้ครับ

Anonymous said...

ที่สุดของที่สุดก็คือความจริง...
กล้าๆหน่อยอย่าหนี ให้รู้กันไปเลยดีกว่า

เพื่อนของผมคนนึงแอบชอบคนอื่นอยู่
แต่ก็ไม่กล้าบอกกับเขาสักที ว่าชอบเขา
ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง
ทั้งๆที่ปากก็พูดว่าตัวเอง แห้วๆ แล้ว
แต่ก็ยังไม่ลดท่าที ยังไม่ลดอาการ"คลั่ง"สักที

เหอเหอ เราก็มีแต่ละเหี่ยใจ


O1235

Anonymous said...

แอบรัก....แล้วไม่สมหวัง ยังดีกว่าถูกหลอกให้รัก...แล้วจากเราไป...แม้จะใช้คำว่าเจ็บและเสียใจเหมือนกัน แต่ความเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง....
แต่อย่างน้อยบทเรียนนี้ก็ทำให้ก้าวต่อไปของเรามั่นคงและเข้มแข็งขึ้น คงไม่มีสักคนที่ไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยถูกปฏิเสธ...
อยู่ให้ได้อย่างมีความสุขด้วยตัวของเราเอง...น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีของชีวิต (เกย์)
คิดถึงคนเคยรู้จัก..และคนที่อยู่ไกล..นะครับ