Sunday, June 11, 2006

อยาก “แหกโค้ง” ด้วยคน

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com

10-11 June 2006

เรากำลังนั่งคุยกันอยู่สี่คนในบรรยากาศยามเย็น ฝนเพิ่งหยุดตก

ตั้งแต่ลมพายุและฟ้าคะนองในชีวิตผมผ่านพ้นไปหลังจากผมเลิกหนีตัวเอง และสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้ตรงหน้า พอผมก็ได้เปิดเผยความจริงไปเมื่อหลายปีก่อนว่า ผมเป็นเกย์ ท้องฟ้าของผมเลยปลอดโปร่ง-เรือเล็กออกจากฝั่งได้ เหมือนผมมีเรื่องเม้าธ์มากมายไม่หยุดหย่อน

คุณจะเรียกว่า อานุภาพของการเลิกแอบก็ได้นะครับ-ที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนอย่างงี้

ยิ่งพูดกับเพื่อนสนิทๆ เรื่องบนเตียง มันมีเรื่องให้พูดน้อยซะเมื่อไหร่? และนั่นก็กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาในวงนี้เมื่อไหร่-ก็ไม่รู้เหมือนกัน

บทสนทนาของเรามาถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ผูกพัน แล้วผมก็เริ่มเลื้อย

“แต่มีผู้หญิงอยู่หลายคนที่ยังไม่รู้ว่า เซ็กซ์คืออะไร ป่านนี้ ‘หยากไย่’ คงขึ้นหมดแล้วมั้ง” พูดพลางผมก็ส่งยิ้มทะลึ่งไปทางเพื่อนคนหนึ่งที่ดูภายนอกแล้ว ใครๆ ต้องบอกว่า หล่อน “conservative”

หล่อนหันขวับ “ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นเลย ผู้หญิงมีเรื่องให้คิดมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ถึงผู้หญิงที่เคยมีอะไรๆ หรือผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็เถอะ หลายคนนะที่ไม่รู้ว่า จุดสุดยอดคืออะไร” หล่อนเสริมและสวนมาในคราวเดียว

ผมจ้องหน้าเพื่อนคนนี้อีกครั้ง ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดว่า “บางคน...ก็ไม่เห็นมีกับเขาซะที”

พอหล่อนหันมาและสวนกลับมาว่า “ใครบอก!” ผมแทบสะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้าง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ผมแทบจะปรี่ไปกอดหล่อนไว้เลย “เพื่อน! ดีใจด้วยเพื่อน!!” ผมจับแขนหล่อนเขย่าไปมา แล้วเราก็หัวเราะกันลั่นและยาวนาน จนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ดีใจจังที่เพื่อนเปลี่ยนไป!

แต่มีหนุ่มคนหนึ่งที่โต๊ะเรา ไม่หัวเราะด้วย

พอผมกับเพื่อนผู้หญิงคนนั้นได้อยู่กันลำพัง หล่อนก็ไม่รีรอ “เมื่อกี้สังเกตหรือเปล่าว่า เขาอึดอัดนะ”

รู้ซี ผมตอบ ก็พอพูดเรื่องใต้สะดือทีไร “พิพัฒน์” เป็นอันไม่มีอะไรมาแชร์ทุกที “เมื่อกี้ก็เห็น เขาเอนหลังนั่งพิงพนักเก้าอี้ห่างจากโต๊ะตั้งโยชน์ เลิกโน้มตัวมาข้างหน้า แล้วก็ปล่อยเราโม้กัน อาการมันฟ้องอยู่เห็นๆ”

“แล้วไหงเธอถึงยังพูดต่อล่ะ เขาคงอึดอัดแย่” เพื่อนทำตาสงสาร

“จะไปรู้เหรอ ก็อยากจะพูดนี่หว่า ฉันไม่สนหรอกว่า เขาจะอึดอัด บางทีคนเราก็ต้องการการกระแทกเหมือนกัน” ผมพูดเข้าข้างตัวเองแบบข้างๆ คูๆ ไป แต่สาบานได้ ในใจไม่รู้สึกผิดสักนิดที่ไม่เกรงใจนายพิพัฒน์เลย ก็ผมไม่รู้นี่ว่า เขาเป็น “อะไร” กันแน่ ผมละงง

“แล้วตกลง เขาเป็นอะไรกันแน่ สามสิบกว่ากันหมดแล้ว ยังปิดกันอยู่ได้ ตกลงเป็นเกย์หรือเปล่า?” หล่อนกลับเป็นคนพูดประโยคนั้นแทน

ผมก็อยากรู้นะ แต่ต้องให้คำตอบเดิมๆ “ไม่รู้ว่ะ”

ถ้าผมรู้ เราสองคนคงไม่ต้องเป็นฝ่ายอึดอัดจนบัดนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่กล้าถามตรงๆ ล่ะ?

พอมาถึงบ้าน บนจอทีวี ก็เจออีกคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ต่างกันเลย วันนี้เลยมีเรื่องให้สงสัยอย่างต่อเนื่องเป็นซีรี่ย์

คุณคงรู้จักอาจารย์นักปรุงชื่อ “ยิ่งศักดิ์” กับรายการทอล์คโชว์ภาคดึกที่กำลังมาแรง “คุยแหกโค้ง” ที่ท่านเป็นพิธีกรร่วมอยู่ ผมเพิ่งพบตัวจริงท่านที่ร้านอาหารริมแม่น้ำติดสะพานแห่งหนึ่ง ท่านกำลังเดินออกจากร้านอาหารพร้อมคณะของท่าน ท่านใส่เสื้อกล้ามสีดำรัดรูปตึงเปรี๊ยะ กางเกงยีนส์ขาดๆ ผมยาวปลิวสยาย ผมเห็นแล้วทึ่งในความกล้าของท่าน แม้จะอยู่นอกจอทีวี

แล้วผมก็ไปพบบทสัมภาษณ์ของท่านในนิตยสาร “LIPS” ฉบับเก่าเมื่อเดือนที่แล้วโดยบังเอิญ เห็นแล้วต้องถ่ายเอกสารไว้ทันที เพราะผมสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า “ท่านเป็นอะไรกันแน่?” ระหว่าง ‘ผู้ชายออกแนวดัดจริต’ ‘เกย์ควีนแต๋วแตก’ ‘กะเทยไม่คิดแปลงเพศ’ ‘ไบฯ ไถลลื่น” หรือ ‘นักแสดงบนจอทีวีที่มีฝีมือไร้เทียมทาน’?

อย่างที่ใครๆ รู้น่ะครับ ท่านแต่งงาน มีภรรยา และมีลูกสองคน โตแล้ว คำถามที่ว่า “ท่านเป็นอะไรกันแน่?” เลยคาใจผู้คนทุกหมู่เหล่า ผู้สัมภาษณ์จากนิตยสารได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้วด้วยการซักง่ายๆ ว่า ท่านเป็นอะไรกันแน่?

แต่พิธีกรรายการ “คุยแหกโค้ง” ท่านนี้ทำให้ผมคอตก ทั้งๆ ที่ท่านยึดหลักการว่า ต้องพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา กล้าพูด กล้าถามแขกที่เชิญมาให้สัมภาษณ์สมดังชื่อรายการว่า คุยแหกโค้ง “และไม่เฟกเหมือนรายการอื่นๆ” และจะ “…ทำตัวเป็นคนดูคนหนึ่ง แล้วคนดูอยากรู้อะไร เราก็จะถามแทนคนดูทั้งประเทศ”

แล้วเหตุไฉน ท่านกลับไม่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาของผู้สัมภาษณ์และคนดูอย่างผมที่อยากรู้ว่า ท่านเป็นอะไรกันแน่?
ผมอ่านคำตอบของท่านทวนไปทวนมาหลายรอบก็ไม่รู้ว่า ท่านกำลังจะบอกอะไร? มันกลายเป็นความวกวนสับสนเหมือนผัดจับฉ่าย ไม่เห็นตรงไปตรงมาแม้แต่น้อย อย่างคำตอบหนึ่งที่ท่านบอก...ทำไมใครๆ ถึงอยากรู้ถึงพฤติกรรมทางเพศ ของท่านนัก หรือต้องให้มาดูกันหรือเปล่า?

ผมว่า ท่านตอบแบบป้องกันตัวและไม่คิดจะแหกโค้งกับคนอ่านอย่างผม เพราะแค่ตอบว่า ท่านเป็นอะไรกันแน่? ท่านก็เฉไลยืดย้วยได้หลายย่อหน้า คนอ่านคงงงไปเอง และคนถามก็จะเลิกถามไปเอง ท่านถามแขกในรายการเรื่องส่วนตัวแบบ “แหกโค้ง” แต่ทำไม ท่านไม่ยอมให้คนอื่น “แหกโค้ง” กับท่านนะ? ผมล่ะงงจริงๆ ด้วยความเคารพ

หรือท่านอยากให้มันเป็นปริศนาต่อไป เพื่อทวีความสนใจของชาวบ้าน?

ผมเลยกลับไปคิดถึงพิพัฒน์อีกครั้ง คราวหน้า ถ้าผมได้นั่งกินข้าวกับเขา ผมจะถามว่า พิพัฒน์ นายเป็นเกย์หรือเปล่า? ไม่ต้องมาหลบคำถาม “แหกโค้ง” ของฉันนะ!

บอกต่อกันไป : หนังเรื่อง “เพลงสุดท้าย” ภาคใหม่ นางเอกใหม่ ผู้กำกับคนเดิม จะฉายในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ คอลัมน์นี้มีบัตรแจก 5 ท่าน ท่านละสองใบ ไปดูที่ UMG ก่อนวันฉายจริง (ดูวันพุธที่ 14 รอบหัวค่ำ) ส่งอีเมลมาตอบคำถามง่ายๆ ว่า ผู้กำกับชื่ออะไร ที่www.vitadam2002@yahoo.com รับบัตรที่หน้าโรง / รอดูหนังใหม่ “แก๊งค์ชะนีกับอีแอบ” 13 ก.ค. กำลังคิดจะจัดขบวนไปเลิกแอบที่นั่นกัน ใครสนใจไปดูพร้อมๆ กัน ใกล้ๆ แล้วติดต่อได้

All rights served.

7 comments:

Anonymous said...

แหกๆนี่น่ากลัวจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องแอบนะ
ตั้งใจไว้ว่าเราไม่ปกปิด ไม่เปิดเผย ทำตัวตามธรรมชาติ

กะว่าถ้ามีคนมาถามเราถึงจะบอกเขาไปว่าเราเป็นอะไร
คงไม่ต้องไปตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันมั้ง ใจคิดงั้นนะ

แต่ในบางสถานการณ์ เมื่อมีคนเข้ามาถามเข้าจริงๆ
ทำไมเราไม่กล้าที่จะบอกก็ไม่รู้สิ ทั้งๆที่คำตอบง่ายๆ
แค่ "ใช่"หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น

ส่วนใหญ่จะตอบไปว่า "บ้า หรือพี่ถามไรแบบนั้น"
หรือไม่ก็จะบอกติดตลกว่า "ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน"
แล้วก็ทำหน้าอ้อล้อ ไม่ก็หัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเขาก็
เลิกถามไปเอง เหมือนเป็นที่รู้กัน หรือป่าวไม่รู้เนอะ

Anonymous said...

เอาเรื่อง อ. ยิ่งศักดิ์ ก่อนดีกว่า, ได้อ่านเหมือนกัน ตลกดี post ท่าซะสาวกว่านางแบบ ก้นนี้งอนเช้งไปเลย... อันนี้ ก้อแล้วแต่จะยอมรับไม่ยอมรับ การมีเมีย มีลูก ไม่ใช่ ตราอ.ย.รับรองนี่ว่า ปลอดพ้นแล้วจากการเป็นชายรักชาย ในเมื่อนิสัยปกติของมนุษย์ชอบคุ้ยเรื่องคนอื่น แต่ขอปิดเรื่องตัวเอง ก้อจะทำไงได้ล่ะเนอะ ผมว่าคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์เค้าก็คล้าย ๆ กับประโยค ๆ หนึ่ง ที่ไม่รับ ไม่ปฏิเสธ ... "ตัว ... ใสเป็นกระจก ...เป็นยังไงทุกคนก็คงจะทราบดี"

เรื่องเกย์แอบ โดนส่วนตัว ผมจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เลย (ที่ทำงานผมมีเยอะแยะ) รู้กันแต่ในนาม ในเมื่อไม่ได้เปิดปากสารภาพเองก็เฉย ๆ ปล่อยให้ตัวเขาเองตัดสินใจ .. จริง ๆ ใจผมก้อไม่ค่อยอยากเสวนากับเกย์แอบ เพราะ กลัวว่าเขาจะคิดว่า เราไปทำให้ชีวิตเขาเสียหาย ... - glory 8009

Vitaya S. said...

ง่ะ..มีคนมาต่อประเด็นให้แล้ว

คุณ 01235 ครับ ที่เรายังตอบไปว่า ผมเป็นครับ
หรือ ผมเป็นเกย์ครับ ยังไม่ได้เต็มปาก
เต็มคำ ก็เพราะเรายังไม่มั่นคง และไม่แน่ใจว่า
คนที่เราคุยด้วยเขาจะคิดอย่างไร

กรณีนี้มีผู้ถามมาบ่อยๆ ว่า จะทำอย่างไรดี
เมื่อมีคนถาม?

ในความคิดของผม ขึ้นอยู่ที่คนที่เราคุยด้วย

ถ้าเราติดต่อกัน ไว้ใจกัน หรือเจอหน้ากันบ่อยๆ ก็
ต้องเลิกกลัวที่จะพูดความจริงๆ เพราะหากเรา
กลัวอยู่ เรียกว่า เรายังแอบอยู่

แต่หากเป็นคนที่ผ่านมา ผ่านไป คนขับรถเมล์
กระเป๋ารถ หรือใครที่เราไม่ได้จะได้เจอบ่อย
หรือญาติที่ไม่ได้สนิทกัน

ก็ไม่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
...........
คุณ Anonymous

หากเป็นเกย์แอบ คงต้องให้เวลาเขาบอกเอง
หรือแล้วแต่เขาจะบอก อันนี้เห็นด้วย

แต่หากเป็นเกย์แอบ มีหลักฐานทนโท่อยู่
แต่ยังทำตัวจีบหญิง คุยโม้ว่า มีแฟนสวย
(แต่ไม่เคยเห็นแฟนซะที) อย่างนี้
มันน่า... หรือเปล่า หมายถึง น่ารำคาญ
หรือเปล่า?

บางท่านเล่าให้ฟังว่า ที่ทำงานมี
บางคนก็รู้ๆ กันอยู่ แต่พูดจาเก็กแมน
ผมว่า ก็สมแล้วที่มีคนตั้งว่า กทม.

เป็นข้อเตือนใจที่ดี นอกจากตัวเองไม่ยอมรับ
สิ่งที่เป็น ยังตั้งข้อรังเกียจ สร้างอคติต่อไป
ไม่สิ้นสุดให้กับคนอื่น

อย่างนี้ต้องได้รับบทลงโทษ

ตบจูบ ซะดีไหมนี่ (?!?!)

Anonymous said...

่สวัสดีพี่วิท และทุกห่านค่ะ
อ่านเนื้อเรื่องและ comment ของทุกท่านแล้ว อยากบอกว่ายิ้มคนเดียว จริงๆก็เห็นด้วยกับทุกท่านค่ะ แต่ละท่านก็มีเหตุผลดีๆ เรียกได้ว่าปัจเจกบุคคล เรื่องนี้คงแล้วแต่วิถีทางของแต่ละท่าน ว่าชอบแบบใด อยากบอกหรือไม่อยากบอกกับใคร

ความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ (อาจคิดผิดหรือถูกก็ไม่รู้ค่ะก็แค่ความคิดน่ะ) กรณีของอาจารณ์ยิ่งศักดิ์ น้ำอยากบอกว่า ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคนที่มีความซับซ้อนทางความคิด พูดง่ายๆก็คือ มีความฉลาดที่แยบยล เพราะเดาว่า ท่านคงไม่เห็นความจำเป็นต้องตอบให้ตรงคำถาม แต่ในรายการก็ต้องดำเนินไปตามกระแส ตาม concept ของรายการ

ส่วนบางท่านอาจชอบที่จะพูดตรงๆ มีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง

น้ำก็เลยยิ้มกับคอมพิวเตอร์ ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่มาโพสต์ให้ได้อ่านค่ะ....

Anonymous said...

มีคนหลายๆคน เลือก ที่จะ ไม่บอก..

ด้วยเหตุผลของความไม่มั่น ในหลายๆสิ่งที่อยู่ในใจ ..

มีหลายๆคนคิดว่า ขออยู่ในตำแหน่งที่ตัวเองรู้สึก ดี กับมันอยู่ทุกๆวัน
แต่ถ้าตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งยืนก็ใช่ว่าจะดีกว่าเดิม
ในเมื่อยืนที่เดิมมันก็ดีอยู่แล้ว
ไฉนจะเสี่ยงกับตำแหน่งยืนใหม่ทำไมล่ะ มันจะดีขึ้นหรือ เลวลง ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะถ้ามันเลวกว่าเดิม คงจะเดินถอยกลับมายืนที่เดิมคงไม่ได้แล้ว ..

เช่นกัน..

ผมเคยนึกที่จะบอกกับครอบครัวแต่ว่าก็ตัดสินใจที่ไม่บอก
เพราะว่า..
มีวันหนึ่งคุณพ่อป่วยหนัก ท่านก็หลุดคำถามกับผมว่า เมื่อไรจะแต่งงานเสียที อายุขนาดนี้แล้ว ..พร้อมกับร้องไห้ออกมา ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร แต่ก็ทำให้ท่านนิ่งเงียบ แล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไร จะรอวันที่ลูกได้แต่งงาน ตระกูลเราก็มีลูกเพียงคนเดียวนะ

แล้วจะทำยังไง ในเมื่อเราเป็นเพียงลูกคนเดียวในครอบครัวคนจีน !

ตอนนี้ผมคิดว่า ถ้าผมตอบความจริง ผมคงรู้สึกผิดในใจตลอด...

ผมควรสบายใจที่บอกความจริง แล้วเก็บทุกข์ของครอบครัวไปตลอดชีวิตหลังจากท่านเสียไป

หรือ ควรเก็บมันไปตลอด เพื่อให้คนที่มีบุญคุณกับเรามีความสุข


ความจริงบางเรื่องก็ใช่ว่าจะทำให้เรืองราวต่างๆดีขึ้นเสมอไป

Anonymous said...

เห็นด้วยและเข้าใจความรู้สึก คุณ ชายคนหนึ่ง ครับ

เพราะผมเป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน และยังไม่แต่งงาน แต่โชคดีหน่อยที่คุณแม่ผมไม่ค่อยเร่งรัด คงเพราะหลังๆมีเรื่องการดูแลสุขภาพของท่าน ประกอบกับแม่ผมท่านก็ทันสมัย และเป็นตัวของตัวเอง ท่านคงเห็นว่าจริงๆแล้ว การแต่งงานไปทั้งที่ไม่ได้มีความรัก มันจะจบลงอย่างไร

เคยคิดว่าการแต่งงานอาจจะเปลี่ยนเราได้ แต่คิดไปคิดมาสงสารเพื่อน(ครับ) ถ้าหากว่าไปๆมาๆมันเกิดไม่เวิร์ค
เพราะใจเราชัดเจนอยู่แล้ว ว่าคิดอย่างไร
ผมเลยอยู่มาสบายๆ

ผมเข้าใจความปรารถนาดีของคุณวิทยา และที่ผ่านมาคุณวิทยาก็ทำได้ดี

ผมเอง จากที่ไม่เคยเข้าเว็บเกย์ เรียกว่า ตัดความคิดเรื่องนี้ไปเลย ... หลังๆมานี้ก็เริ่มๆที่จะบอกกับเพื่อนสนิทไปบ้าง และเริ่มเหล่ๆใครบางคน อย่างเป็นทางการ
เรียกว่า come out กับตัวเอง และคนสนิท แล้วก็คนที่เราคิดว่าจะจีบ : )
ก็สบายใจขึ้นครับ กับความรู้สึกชัดเจน เป็นที่เป้นทาง มีเพื่อนเกย์ที่คบกันอย่างเพื่อนฝูง แลกเปลี่ยนความคิด ปรึกษาปัญหาต่างๆ ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดเท่าเก่า

เกย์ที่ยังไม่แต่งงานนี่ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สมาร์ทครั้งหนึ่งเลยนะครับ ... ผมว่า

แต่ก็นั่นละว้า ... ปัญหาที่ตามมาติดๆ คือ อยากมีแฟน แต่หาที่ถูกใจยากชิบเป๋งเลยครับ

ส่วนเรื่อง อ.ยิ่งศักดิ์ / พี่เบิร์ด หรือใครต่อใครในวงการบันเทิง ผมว่า อย่างน้อย เราควรเคารพในทางเลือกที่เขาแสดง อย่างปราศจากอคตินะครับ เพราะรายละเอียดของชีวิต / บุคคลอันเป็นที่รัก ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ..จริงๆ

ปล. รู้สึกว่า ผู้จัดการ ฉับบแถมวันเสาร์จะงดมาสองฉบับแล้วใช่ไหมครับ แล้วคุณวิทยาย้ายไปเขียนที่ไหนรึเปล่าครับ นอกจากมาโพสต์ที่บล็อกนี้

Vitaya S. said...

Update

ทางกองบก. นสพ. ผจก. ฉบับวันเสาร์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่น่ะครับ ใครๆ ก็ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่รู้จะดีหรือเปล่า... ล่าสุดที่ถามไป เขาบอกว่า Metro Life (ที่คอลัมน์นี้ประจำอยู่) จะส่งให้สำหรับสมาชิกนสพ. ส่วนตามแผงหนังสือจะไม่มี Metro Life เหมือนเคย ผมหวังว่า เขาคงจะเปลี่ยนใจเรื่องนี้ เพราะหลาย ๆ ท่านจะชอบสะสม Metro Life ไว้ ยังไงเสีย blog นี้ก็ยังคงอัพเดทต่อไปนะครับ ฝากบอกต่อๆ กันไปด้วย tks++