Sunday, September 24, 2006

หนึ่งน้ำใจจากไต้หวัน

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com
23-24 Sept 2006

ผมยืนรออยู่ตรงหน้าร้านหนังสือในห้างแห่งหนึ่ง เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่เห็นเงาของเพื่อนที่นัดไว้เลย บ่ายวันนี้ผู้คนโปร่งตา ก็ไม่น่าจะพลาด เขาต้องเห็นผม หรือไม่ผมต้องเห็นเขาก่อนแน่ๆ

น่าจะรออีกสักสิบห้านาที หรือว่า...ไม่รอดี?

แล้วมือของใครบางคนก็มาแตะที่แขนผมเบาๆ พร้อมเสียงลมหายใจหนักๆ ที่พ่นออกมา “อาลัน” โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ในมือถือถุงช้อปปิ้งขนาดเขื่อง ผมต้องบอกเลยล่ะครับว่า ถุงที่เขาหอบมาทั้งใหญ่ทั้งอ้วนมากๆ ราวกับยัดเสื้อหนาวขนสัตว์ฟูๆ เอาไว้

สงสัยมัวแต่ช้อปปิ้งเพลิน ปล่อยให้ (กรู) รอซะนานฉิบ...

“เอ้า...นี่ ของยู” อาลันส่งเสียงละล่ำละลักเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีน สองมือของเขายื่นถุงใบนั้นมาให้ สีหน้ายังคงมีอาการเหมือนคนกำลังขาดอากาศหายใจ ส่วนสายตาเหมือนอยากจะบอกว่า...ไม่น่าหอบมาเล้ย

ผมเปิดออกดู ก็พบถุงเกาลัดอบแห้งสองถุงขนาดยักษ์นอนทับกันอยู่ในนั้น พอรับมาถือไว้เอง ถึงเข้าใจว่า ทำไมอาลันถึงทำท่าเหนื่อยหอบซะปานนั้น และผมเพิ่งมาค้นพบตอนกลับมาบ้านในวันนั้นว่า ของฝากที่เขาแวะซื้อตอนเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงนั้น หนักเกือบห้ากิโลตอนเอามาลองชั่งดู ผมนึกภาพหนุ่มตี๋เอวบางร่างน้อยหอบหิ้งถุงยักษ์กับกระเป๋าเดินทางไม่ออก เขาคงต้องใช้ความพยายามสุดแรงเกิด

นายอาลันเป็นหนุ่มไต้หวัน ตาหยี ใส่แว่นแผ่นบางๆ ดูเหมือนนักบัญชี แต่เขาทำงานให้กับหน่วยงานกึ่งราชการเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งหนึ่งในไทเป

ผมเดาเองว่า เขาคงอายุน้อยกว่าผมเล็กน้อย ก็ไม่เคยถามซักทีหรอกครับ ทั้งๆ ที่เจอกันครั้งนี้ หนที่สามแล้ว ไม่ค่อยได้ถามเพราะเจอทีไร หัวข้อใหญ่ที่เขาพร่ำบ่อยๆ ก็คือ ความน่ารักของหนุ่มไทย พรรณนาได้ยืดยาว ราวกับได้พบเทพบุตรสุดวิเศษ เขาจะส่งสายตาพริ้มๆ มาที่ผมทุกที เขาไม่ได้จะจีบผมหรอกนะครับ เขาตกหลุมรักมัดกล้ามและความอบอุ่นของหนุ่มไทยนักเต้นอะโกโก้ต่างหาก

ครั้งที่สองที่เราพบกัน เขากำลังควงหนุ่มน้อยวัยยี่สิบต้นๆ คนหนึ่งอยู่ หน้าตาของน้องคนนี้ คมเข้ม สงสัยเป็นหนุ่มใต้ ตอนที่เจอกัน น้องคนนี้กำลังทำหน้าที่เหมือนเอสคอร์ทที่ชาวต่างชาติขี้เหงาจะยอมจ่ายค่าตัวเพื่อออกไปเที่ยว เป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และเพื่อนร่วมกิจกรรมเข้าจังหวะอื่นๆ

ผมชวนน้องคนนี้พูดคุยบ้าง แต่ไม่ได้ถามเรื่องส่วนตัวของเขาหรอก เขาจะได้รู้สึกไม่เกร็งนัก แต่ก็ดูเขาวางตัวได้ดีล่ะครับเหมือนเป็นเพื่อนอีกคนของอาลัน และผมก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร

ผมไม่รู้ว่า อาลันกับน้องคนนี้ไปเจอกันที่ไหน ในทริปที่สองที่ผมเจอเขาและมีน้องคนนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วยนั้น ทริปนั้น ก่อนอาลันเดินทางกลับ เขาฝากพระเครื่องไว้กับน้องคนนี้ แล้วต่อมาก็อีเมลบอกผมให้โทรไปเคลมพระเครื่อง แต่ผมขี้เกียจเกินไป

มาทริปนี้ ผมถามเขาว่า ทำไมไม่พาน้องคนที่เคยพบมาด้วยล่ะ ชอบเขานะ ดูฉลาดดี แต่อลันพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าพามา...เกิดผมแย่งน้องเขาไป จะว่าไง ผมคิดว่า ถ้าเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง ผมจะบอกไปเลยว่า...โธ่ อาลัน...ใครจะไปแย่งของๆ หล่อน

อาลันเผยว่า ที่น้องไม่มา เพราะเขาไม่ค่อยอยากจะเจอใคร ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ว่า เขาเป็นชายขายบริการ เขาสรุปอย่างนั้น แต่ผมว่า น้องคนนี้คงไม่อยากผูกมิตรกับใครโดยนิสัยมั้ง เพราะผมก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า เขาทำอะไร สำหรับผม ก็เป็นสิทธิ์ของเขา

ในทริปที่สามนี้ อาลันมาหาความสุขส่วนตัวอีกครั้งที่กรุงเทพฯ ตอนอยู่ไต้หวัน เขามีตำแหน่งหน้าที่การงานที่เขาคิดว่า ขัดแย้งกับธรรมชาติส่วนตัวของเขา เขาไม่ได้เป็นเกย์ที่ปิดบังตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังโชคดีที่พ่อแม่เขาไม่อยู่แล้ว เหลือแต่ที่ทำงาน ที่บางครั้งก็ทำให้เขาแสนอึดอัด ก็เลยต้องมาเมืองไทย ปีละสองสามหน– เพื่อปลดปล่อย

ก่อนมาพบผม คุณอาลันก็ลั่นล้าไปเที่ยวยังที่คุ้นเคย แล้วก็คว้าหนุ่มกล้ามโตจากคลับแห่งหนึ่งที่คัดแต่หนุ่มไทยตัวใหญ่ๆ ไว้ดึงดูดแขก

ผมไม่รู้ว่า เกย์ไต้หวันมาเมืองไทยบ่อยมากแค่ไหน หรือมีจำนวนมากมายแค่ไหน รู้แต่ว่า อาทิตย์ก่อน พอลองไป “ตรวจตลาดอะโกโก้บอยส์” แถวสุรวงศ์กับเพื่อนคนหนึ่ง ก็พบนางโชว์บนเวทีกำลังสอบถามบรรดาแขกที่นั่งติดขอบเวทีว่า มาจากไหนกันบ้างคะ หนุ่มห้าคนตรงนั้นบอกว่า มาจากไต้หวัน พอหล่อนหันซ้ายไปถามอีกกลุ่ม สองหนุ่มที่นั่งห่างออกไปตรงมุมห้องนั่น ก็ให้คำตอบว่า มาจากไต้หวันเหมือนกัลล์ ผมเลยคิดว่า น่าจะสำรวจซักที ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือญี่ปุ่นที่รักหนุ่มไทยที่สุด

อาลันเล่าว่า วันที่สองที่เขาไปเที่ยว ก็ไปที่เดิมอีก พอ “มามาซัง” เห็นเขาเข้าปั๊บ ก็รีบเรียกหนุ่มกล้ามโตคนเดิมที่เขาเพิ่ง “อ๊อฟ” ไปเมื่อคืนวานมานั่งประกบด้วยซะเลย ได้ยินอย่างนั้น ผมถามเขาว่า จริงๆ แล้ว เขาคิดจะมาพาน้องคนอื่นออกไปไม่ใช่เหรอ เห็นคนนี้ยูบอกว่า ไม่ค่อยชอบนี่เพราะสูบบุหรี่ เหม็น

อาลันตอบว่า ก็งั้น แต่เขากลัวหนุ่มคนนี้จะ “เสียใจ” วันที่สองของทริปนี้ เขาเลยต้องพาหนุ่มคนเดิมกลับไปยังห้องเดิม ผมบอกเขาว่า วันพรุ่งนี้ วันสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวไอไปเป็นเพื่อนเอง แล้วเราจะไปร้านอื่นก็ได้ จะได้ “ไม่ต้องซ้ำไง”

เห็นเขาแสดงอาการลิงโลด และส่งสายตาขอบคุณมาให้ผม แล้ว ผมรู้สึกเหมือน ผมเพิ่งจะช่วยปลดปล่อยเขาจากอะไรบางอย่าง

วันที่สามของเขา พอกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็ต้องล้มแผนเดิมที่จะพาเขาไปร้องเพลงกัน เพราะอาลันรู้สึกกระวนกระวายยิ่งตกดึก ก็ยิ่งงุ่นง่าน เขาเผยว่า ไม่อยากไปช้า ไม่อยากนอนคนเดียวคืนนี้ และเราอย่าไปร้องเพลงกันเลย เดี๋ยวจะค่ำมืดเกินไป เขาอยากจะไป “ตามหา” เทพบุตรสักคนมานอนซะเดี๋ยวนี้เลย

ได้เลย แต่ผมให้เขายืนยันว่า ไม่ไปหาหนุ่มคนเดิมอีก เรามาถึงสีลมตอนสามทุ่มกว่า ร้านแรกที่ผมพาเขาไป มืดสนิท มันคงปิดกิจการไปแล้วมั้ง เพราะไม่ได้ไปนาน เราเดินฝ่าอากาศร้อนและผู้คนไปหาร้านอื่น ก็พบอย่างเดียวกัน

ผมเพิ่งถึงบางอ้อว่า วันนั้นเป็นวันพระหรือวันแรกของช่วงเข้าพรรษา หรือวันอะไรประมาณนั้นที่ทุกร้านปิดหมด ผมนึกไม่ออกว่า เป็นวันสำคัญใดกันแน่ทางพุทธศาสนา แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ ผมเห็นใบหน้าโศกสลดของใครคนหนึ่งอย่างชัดเจน คืนนี้ คืนสุดท้ายในกรุงเทพฯ อาลันคงเดียวดายเปล่าเปลี่ยวแสนสาหัส

เขาเริ่มว้าวุ่นมากขึ้น เมื่อเราคิดว่า จะไปหาที่ไหนดี เพราะถ้าผ่านคืนนี้ไป เขายังไม่รู้ว่า จะได้กลับมากรุงเทพแดนสวรรค์อีกเมื่อไหร่

ถ้าท่านผู้อ่านที่ยัง “ไม่เคย” จะไม่รู้นะครับ วันที่เกิด “อยาก” ขึ้นมา วางแผน เตรียมตัว เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง คงเหมือนคนจะลงแดง ผมนึกถึงบรรดาคนที่ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ และอยากจะได้ใครกลับบ้านติดไปด้วย สุดท้าย เมื่อยังไม่ได้ใครซะที ก็ต้องแวะมายืนเก้ๆ กังๆ ตรงที่จอดรถ หรือหน้าถนน เผื่อจะได้แลกเบอร์ หรือได้ใครในนาทีสุดท้าย

ผมกล่าวแสดงความเสียใจกับอาลันอีกครั้ง ไม่รู้จริงๆ ว่า วันนี้เขาปิดร้านกัน แต่นักท่องเที่ยวหน้าตี๋ยังมีสีหน้าสลดอยู่ ในที่สุด ดูเหมือนเขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบเปิดกระเป๋าถือ แล้วหยิบกระดาษชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาทันที ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ และชื่อคนๆ หนึ่งอยู่ “ยูช่วยโทรไปหาคนนี้ที please, please.”

ผมมองหน้าเว้าวอนนั้น เห็นชื่อในนั้นแล้วก็เข้าใจ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้น แล้วหมุนไปตามเบอร์ “น้องชัยเหรอครับ พี่เป็นเพื่อนกับอาลัน ก็แขกที่น้องเจอเมื่อวานไง อ้อ...เมื่อวันก่อนด้วยไง…”

โชคเข้าข้างหนุ่มไต้หวัน เพราะหนุ่มไทยยังไม่ติดธุระอะไรในคืนนี้ เขาบอกว่า จะไปพบที่โรงแรมภายในครึ่งชั่วโมง ดูเหมือนจะช้ากว่าพิซซ่าเดลิเวอรี่นิดหน่อย แต่ก็เพียงพอที่ทำให้ใครบางคนไม่ลงแดงตายไปต่อหน้า

อาลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันทีที่รู้ว่า คืนนี้เขาไม่ต้องนอนหง่าวคนเดียวในต่างประเทศแน่ๆ เขาแทบจะกระโดดเข้ามาใส่ผม เขาสวมกอดผมไว้แน่น ปากก็บอกว่า ขอบคุณๆ ๆ ชื่นชมผมซะยกใหญ่ว่า เป็นเพื่อนที่แสนดี เข้าใจเขาทุกอย่าง ผมนึกในใจว่า ในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว เขาไม่ช่วย “กระจายรายได้” เอาซะเลย

วันรุ่งขึ้น เขาโทรมาลาผมจากที่สนามบิน และอีกหลายวันต่อมา จากอีเมลที่เขาส่งตามมา เพื่อแสดงความขอบคุณต่างๆ นานาอีกครั้ง ผมถึงเพิ่งรู้ว่า น้องหน้าเข้มที่เขาเคยพาให้ผมรู้จัก ตอนนี้ไม่ได้ทำอาชีพนั้นอีกแล้ว เพราะอาลันกำลังส่งเสียให้เขาเรียนที่โรงเรียนแดนซ์สอนนักเต้นมืออาชีพแห่งหนึ่ง

“He เป็นเด็กฉลาดน่ะ ตั้งใจเรียนดี แต่ขาดโอกาส He is talented. เขาเก่งมากๆ ต้องสนับสนุน”

ผมก็หวังว่า คงเป็นอย่างนั้นนะ

-end-

All rights reserved.

8 comments:

Anonymous said...

เมื่อคืนผมนั่งดูรายการ "หลุมดำ" ตอน A-Go-Go Boys มีคำถามว่า "อะไรเป็นความฝันอันสูงสุดของหนุ่มที่ทำอาชีพประเภทนี้" คำตอบที่สะกิดใจคนดูคือ "อยากให้มีคนรวย ๆ ใจดี มารับเลี้ยงให้สุขสบาย (ไปตลอดชาติ)" ดูจบแล้วก็พอจะเข้าใจพวกเขาเหล่านั้น ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ยิ่งพอได้มาอ่านเรื่องที่พี่เขียนก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าได้ โดยไม่หลงไปตามกระแสสังคมและค่านิยม ที่นับวันจะทำให้ผู้คนหลงอยู่กับความสุขทางกาย
มากกว่าความสุขทางใจ และ "เงิน" คงไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงในชีวิตเรา

Take Care ครับ ^__^

คิวว์ said...

...

Anonymous said...

ง่ะ ไม่ได้ดูหลุมดำ หลับ พลาดตอนเด็ดไปเลย พี่วิทย์ เพื่อนพี่วิทย์น่ารักดีนะคะ เราว่า อาลันเป็นคนตรงๆ คิดยังไงก็แสดงออกมาเลย ดีจัง ไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเองเลยค่ะ ขำที่พี่วิทย์นินทาอาลันเรื่องไม่ช่วยกระจายรายได้เนี่ยแหละ อ้อ เราส่งเมล์ไปหานะคะ เปิดอ่านด้วยค่ะ

Anonymous said...

เห็นด้วยเรื่อง ไทยเป็นแดนสวรรค์ของชาวเกย์ค่ะ
สิงคโปร์เอย ฮ่องกงเอย มาเลย์เอย ไทเป เอย
บินมาขึ้นสวรรค์ที่ประเทศไทยทั้งนั้นค่ะ
(อันนี้พูดจาก ที่ไปเห็นมาด้วยตาตัวเองค่ะ)

เดยมีเพือนคนหนึ่งพูดติดตลกค่ะว่า
ถ้าระเบิดลงที่ สีลมซอยสอง ประเทศไทยจะหยุดพัฒนาทันทีเลยค่ะ เพราะเกย์ ตายกันหมด

อีกคนก็แย้งว่า ประเทศไทยไม่ได้หยุดพัฒนาอย่างเดียวนะ แต่เป็น เอเชีย เลยทีเดียวที่ต้องหยุดพัฒนา
เพราะเกย์ตายกันหมดทั้งเอเชียเลยทีเดียว

.. เห็นท่าจะจริงค่ะ ...

ไทเป รายนี้ นอกจาก จะ pay จริงๆ แล้ว
ยังเกิดตอน หนึ่งทุ่มตรง ด้วยค่ะ คือ ทุ่มตรงสุดตัว

ขอแสดงความนับถือ
สาวอิสานรอรัก

คิวว์ said...

"เดยมีเพือนคนหนึ่งพูดติดตลกค่ะว่า
ถ้าระเบิดลงที่ สีลมซอยสอง ประเทศไทยจะหยุดพัฒนาทันทีเลยค่ะ เพราะเกย์ ตายกันหมด

อีกคนก็แย้งว่า ประเทศไทยไม่ได้หยุดพัฒนาอย่างเดียวนะ แต่เป็น เอเชีย เลยทีเดียวที่ต้องหยุดพัฒนา
เพราะเกย์ตายกันหมดทั้งเอเชียเลยทีเดียว"


อันนี้นี่ยกมือเห็นด้วยสุดขาดใจเลย อิอิ

Anonymous said...

ผมว่าไต้หวัน ฮ่องกง ชอบคนไทยนะครับ อย่างน้อยก็มากกว่าคนญี่ปุ่น เพราหนุ่มญี่ปุ่นที่คนไทยหลงกันนั้นเค้าจะชอบฝรั่งมากกว่าครับ เคยไปเที่ยวบาร์ที่ชินจูกุ มีแต่ฝรั่งหนุ่มๆที่ได้ออกไปต่อกับหนุ่มญี่ปุ่น เอเชียด้วยกันอด
เพื่อนคนฮ่องกงก็คล้ายหนุ่มไต้หวันของพี่เลย
มาชอบหนุ่มไทย พบรักในบาร์ เค้าเป็นคนอีสาน
ตอนนี้เพือนคนนั้นเค้าส่งเสียให้ไปเรียนที่เมกาไปแล้ว
ต่างจากผู้หญิงญี่ปุ่นนะครับผมว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นจะชอบหนุ่มไทยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหนุ่มๆบีชบอย คล้ำๆ หุ่นดี แมนๆ
ไม่รู้ว่าผมคิดถุกไหม ผุ้หญิงญี่ปุ่นที่ชอบบีชบอยอาจคบเพราะเรื่องเซกซ์เป็นหลัก สนุกสุดปล่อย กลับประเทศไปก็เป็นหญิงสาวอาโนเนะ ไม่ค่อยมีปากเสียงในสังคม
เหมือนเดิม
เอ แล้วผู้ชายญี่ปุ่นและชอบสาวไทยไหม อันนี้ไม่เคยคิดครับ แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยมี
ขณะที่เกย์ญี่ปุ่นชอบผู้ชายชาวตะวันตก ผมว่าชอบเพราะลึกๆแล้วคนญี่ปุ่นมีปมบางอย่าง อยากจะเป็นตะวันตก อยากเป็นฝรั่ง อยากยิ่งใหญ่เหมือนฝรั่งไม่อยากเป็นเอเชียขี้แพ้ ทำไมไม่เป็นผู้หญิงด้วย ผมว่าความคิดแบบผู้ชายเป็นใหญ่ของเกย์ญี่ปุ่นรุนแรงกว่าชาตินิยมของผู้หญิงมั้งครับ

นี่ผมคิดไปเองนะครับ เฮ้อ
แต่ยังไงก็ยังหลงรักหนุ่มปลาดิบอยู่ดี

Anonymous said...

ก็เป็นอีกมุมนึงของสังคมไทยนะครับ หรือหลายที่ก็
จะเป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันนะ

แต่ที่แน่ๆดูเหมือนว่าในสายตาของชาวต่างชาติไม่ว่า
จะเป็นชาย เป็นหญิง หรือเป็นเกย์ ต่างก็เห็นบ้านเราเป็นสวรรค์ที่อะไรอะไร ก็สามารถซื้อด้วย...เงิน

Anonymous said...

อยากมีอะไรกับใคร SAFE SEX ดีที่สุดครับ

เกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ยเนี่ย

ผมว่าเพื่อนพี่ตอนอยู่ที่ไต้หวันคงอึดอัดมาก ผมคิดว่าไต้หวันน่าจะเปิดเรื่องเกย์มากแล้วนะครับ เพราะเท่าที่ผมทราบก็คล้ายกับเมืองไทยที่เด็กรุ่นใหม่ กล้าที่จะเปิดตัวกันมากขึ้น

แต่ที่แปลกใจคือ ประเทศไต้หวันไม่มีอะไรแบบนี้เหมือนบ้านเราเหรอ (เผื่อผมแอบไปเที่ยวไต้หวันบ้าง เหอเหอ)หรือที่มีก็อาจจะไม่ได้ดูแรงเท่าเมืองไทย พอเพื่อนพี่มาเห็นก็เลยตื่นตาตื่นใจมาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

ว่าใหมครับ