Sunday, October 08, 2006

หล่อนจ้องหน้าสามี แล้วถาม “คุณเป็นเกย์รึเปล่า?”

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 7-8 Oct 2006

ลึกๆ แล้ว คุณ “เจมส์ แม็คกรีฟวี” คงคิดเหมือนกันว่า คงจะมีวันนี้ วันที่ความลับของเขาจะทำลายทุกอย่าง ครอบครัว หน้าตา ชื่อเสียง และสิ่งที่หวงแหนที่สุดคือ อาชีพนักการเมืองที่กำลังไปได้สวย

ในเดือนสิงหาคม ปี 2004 เจมส์ก้าวลงจากตำแหน่งผู้ว่าการหนุ่มแห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์อย่างกะทันหัน หลังประกาศต่อหน้ากล้องโทรทัศน์นับสิบที่กำลังถ่ายทอดสดทั่วประเทศและมีผู้ชมกำลังรอดูอยู่นับล้านว่า ผมเป็นเกย์อเมริกัน (I’m a gay American.)

เหตุหลักที่เขาลาออกนั้น เขาประกาศชัดๆ แล้วว่า ไม่ใช่ออกเพราะเป็นเกย์ หากเป็นเพราะเขาไปมีสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังจะแบล็คเมล์เขา และอีกประการหนึ่ง เขาถือว่า เขาได้ทำผิดต่อภรรยาผู้ที่จดทะเบียนอยู่กินกับเขาอย่างไม่น่าให้อภัย

เรื่องนี้ผมเคยเล่าไว้แล้วสองตอนในบทความสองปีที่แล้ว (ฟังดูนานจัง) ใช้ชื่อว่า ไม่ต้อง...ผมบอกเอง (1) และ (2)

ในวันที่เขากล่าวสุนทรพจน์ชิ้นประวัติศาสตร์นั้น ภรรยาของเขา คุณ “ดีน่า” ยังคงยืนอยู่เคียงข้างเขาพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวและญาติมิตร ไม่มีใครได้สัมภาษณ์เธอ ไม่มีใครรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้คิดและรู้สึกอะไรในห้วงเวลานั้น

ผมนึกถึงคุณฮิลลารี ตอนที่รู้ว่า คุณบิล คลินตันให้นักศึกษาหญิงฝึกงานบริการโอษฐกามให้ในออฟฟิศ และต่อมาคุณบิลก็ยอมรับเรื่องนี้ ทุกคนจ้องไปที่ฮิลลารี อยากรู้นักว่า ผู้หญิงอย่างเธอจะมีปฏิกิริยาอะไร เธอจะพูดอะไร ผมไม่แน่ใจว่า เหตุการณ์ไหนทำให้คนเป็นภรรยา ในแวดวงการเมืองเหมือนกัน เจ็บกว่ากัน?

สำหรับคุณดีน่า ที่น่าชัดเจนที่สุดสำหรับชีวิตเธอก็คือ สิ่งที่เธอสงสัยมาหลายเดือนก่อนหน้านี้มาถึงจุดสิ้นสุดของมันแล้ว พร้อมๆ กับชีวิตสมรสที่หมดรสชาติมานานแล้วของเธอเช่นกัน

ดีน่าและเจมส์แต่งงานกันได้ปีกว่าๆ และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เจมส์เองยอมรับว่า หลังแต่งงานเขารู้สึกห่างเหินกับภรรยา ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง เขาเผยว่า ครั้งแรกที่เขามีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น ก็ตอนที่ภรรยาคลอดลูกสาวอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ

จริงๆ ก่อนหน้านี้ เจมส์เคยแต่งงานมาแล้วหนหนึ่ง และก็มีลูกสาวหนึ่งคน สองแม่ลูกย้ายไปอยู่แคนาดา เธอคนนั้นแยกทางเพราะอะไร ไม่มีใครรู้

หลังจากอำลาชีวิตการเมืองอย่างเป็นทางการในปี 2004 คุณเจมส์ก็หายหน้าหายตาไปจากสื่อต่างๆ เป็นเวลากว่าสองปี

เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เขากลับมาใหม่ สำหรับผม เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่ได้ติดตามเรื่องของเขามาตลอด เขาไม่ใช่ฮีโร่ของผมหรอก แต่เขาเป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่ “เผชิญหน้า” กับปัญหา และลงมือ “จัดการ” กับมัน แม้จะถูกสถานการณ์บังคับก็ตาม

มาครั้งนี้ เขามาพร้อมความหล่อเหมือนกันเดิม เพื่อโปรโมทหนังสือบันทึกเรื่องราวชีวิตที่ต้อง “แอบ” ของเขา เขาไปออกรายการของพิธีกรผิวหมึกคนเก่ง คุณโอปร่า และรายการซีเอ็นเอ็น ให้คุณลาร์รี่ คิงส์เจาะลึก ตอนนี้กำลังออนทัวร์โปรโมทหนังาสืออยู่

“The Confession” เป็นหนังสือแฉเรื่องลับๆ หลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ สังคมรอบข้าง ความเชื่อต่างๆ ที่กำหนดให้เขาตัดสินใจว่า จะอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์และมีอนาคตการเมืองสดใส เขาต้อง “แต่งงานบังหน้า”

เจมส์ในวัย 47 ในปีที่เผยความจริงต่อสื่อมวลชนนั้น ไม่ได้เป็นคนสับสนตัวเอง เขาไม่ได้อ้างว่าเป็นไบฯ และไม่ได้อ้างว่า ไม่รู้ตัวว่าเป็นเกย์อย่างที่สามีเกย์หลายคนชอบทำ

เขาตั้งคำถามกับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เขารู้สึกถึงมันตลอด แต่เขาเลือกที่จะเก็บกดไว้ และทุ่มเททุกอย่างเพื่อเส้นทางการเมือง ในวิถีแบบนี้ การหาผู้หญิงคนหนึ่งไว้ทำหน้าที่ภรรยาและ “เกราะกำบัง” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนอย่างเขา

ฝรั่งเรียกผู้หญิงที่ทำหน้าที่นี้ว่า “beard” (หนวด)

ถ้าคุณอ่านถึงบรรทัดนี้ คุณรู้สึกคล้ายๆ กับชีวิตนักการเมืองและข้าราชการไทยบางคนหรือเปล่า? มีหลายคนไม่ไว้หนวด แต่มี “หนวด”

บทที่หนึ่งในหนังสือของเขาทำเอาคนอ่านวางไม่ลง เพราะเรื่องราวที่เผยมา หากเป็นจริง ก็ถือว่า ได้ช่วยเปิดประตูให้คนที่อยากจะเข้าใจชีวิตสมรสที่ผิดฝาผิดตัวได้ศึกษา และให้เห็นว่า อะไรกันแน่ที่ทำลายชีวิตคนเรา

ฝ่ายหนึ่งมีความลับใหญ่หลวงที่บอกใครไม่ได้ ส่วนอีกคนทนทุกข์ทรมานกับความไม่เข้าใจและ “ไม่เข้าถึง” ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามี

ครั้งแรกที่คุณดีน่าเผชิญหน้ากับเจมส์เพื่อเค้นความจริง และยิงคำถามบาดใจ เกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง ตอนนั้นหล่อนกำลังเอาลูกสาวเข้านอน เจมส์ยืนอยู่แถวนั้นด้วยกัน ส่วนหูก็คอยฟังเสียงชายชู้ที่เพิ่งโทรมาและเอาแต่คร่ำครวญเรื่องการงานที่ประสบปัญหาหนัก (เจมส์ใช้อำนาจทางการเมืองแต่งตั้งชายชู้ในตำแหน่งใหญ่โตที่ไม่เหมาะสม และต่อมาโดนโจมตี)

เขายังยืนคุยโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ตกลงกับเมียแล้วว่า จะไม่เอาเรื่องการงานเข้าบ้าน แต่สำหรับเจมส์แล้ว คนที่โทรมาคือนาย Golan Cipel ผู้ชายที่เขาบรรยายไว้ในหนังสือว่า ทั้งหล่อ ทั้งฉลาดหลักแหลม และยังเป็นรักแสนโรแมนติคของเขาอีกด้วย นอกจากนี้ “นายโกลัน” คนนี้ยังเป็น...

“จูบแรกของผมที่ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่า รสจูบที่แท้จริงเป็นอย่างไร”


ผมว่า อันนี้อาจเป็นวิธีการที่น่าลองนะครับสำหรับคนที่ยังรู้สึกสับสน หรือยังไม่แน่ใจว่า ตัวเองชอบอะไรกันแน่ ว่าแต่ว่า...จะไปจูบกับใครดีนะ?

มาบัดนี้ ในสถานการณ์ที่เริ่มคุกรุ่น ต่อหน้าภรรยาที่กำลังหัวเสีย เจมส์เห็นแล้วอย่างชัดๆ ว่า ดีน่ากำลังมองหน้าเขาเหมือนตำหนิที่ยังพูดโทรศัพท์ตอนลูกกำลังจะเข้านอน

แต่จริงๆ แล้ว เธอหมดความอดทนต่างหากที่สามีกำลังมีความลับกับลูกน้องคนสนิทคนนี้ เธอเริ่มแสดงอาการขัดเคืองมากขึ้น พอเอาลูกเข้านอนและห่มผ้าเสร็จสรรพ เธอก็ปั้นปึ่งตึงตังออกไปนอกห้อง แล้วก็หันขวับมาเผชิญหน้ากับเขา พูดขึ้นว่า

"This whole thing is ridiculous." เรื่องทั้งหมดนี้ มันบ้าบอคอแตกสิ้นดี
เจมส์เขียนในหนังสือว่า เขารู้แจ้งแก่ใจดีว่า ภรรยาของเขากำลังหมายถึง “อะไร” แต่เขาก็ยังถามเธอหน้าตาย “เรื่องอะไรเหรอ?”

จากทางเดินมืดๆ ในบ้าน จากความเงียบที่ดังขึ้น จังหวะนั้น คงเหมือนมีแสงไฟตกลงบนหน้าเธอ เจมส์เห็นดีน่าเดินอาดๆ เข้ามาหาเขา เข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้ากันและกันได้อย่างชัดเจน แล้วเธอก็ยิงคำถาม

“คุณเป็นเกย์รึเปล่า?”

เจมส์บรรยายไว้ในหนังสือเมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์นี้ว่า ปกติเขาหวาดผวามากเวลาเจอคำถามแบบนี้ เขามักจะหลีกหนีคำถามเหล่านี้มาชั่วชีวิตด้วยการโกหกบ้าง เลี่ยงบ้าง เขารู้ว่าการแต่งงานก็คือ การจัดฉากเพื่อการโกหกอย่างหนึ่ง นับวันเขายิ่งรู้สึกอึดอัดและทรมานกับการต้องเก็บความลับ ซึ่งเป็นความจริงในชีวิตเขา และเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา

นับวัน การโกหกปิดบังนั้นทำได้อย่างเหนื่อยยากมากขึ้น เขาไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว

การที่เขารับโทรศัพท์ของนายโกลันต่อหน้าภรรยานั้น เขาเขียนไว้ว่า คงเป็นส่วนหนึ่งของความเหนื่อยหน่ายที่จะโกหกต่อไป เป็นส่วนหนึ่งที่จิตใต้สำนึกเขาอยากปลดปล่อย ไม่มีการควบคุมหรือระวังตัวอีกแล้ว ลึกๆ ลงไป เขาอยากให้ภรรยารับรู้ทางอ้อม

ผมเดาเอาว่า คงมีเกย์หลายคนที่เป็นอย่างนี้นะครับ กลัวก็กลัว กลัวคนจะรู้ แต่อีกใจหนึ่งถ้าจะให้เปิดปากบอกความจริงออกไปโต้งๆ เลย พวกเขาก็ไม่กล้า บางคนเลยเลือกที่จะทิ้ง “ร่องรอย” บางอย่าง ใจหนึ่งก็อยาก “โดนจับได้” อีกใจหนึ่งก็เพียงรู้สึก “อยากลองของ”

คุณเคยเป็นอย่างนี้กันบ้างไหมกับคนรอบข้าง?

สำหรับนายเจมส์แล้ว เขาก็คงรู้สึกไม่ต่าง แล้วในที่สุด เขากลับไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป แม้มาถึงจุดนี้แล้ว เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ

ชีวิตของเขาผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตไปแล้วเมื่อเขาพูดความจริงกับทุกคน เขาไม่เพียงแต่ “come out” หรือ เลิกแอบ กับตัวเอง กับครอบครัว กับเพื่อนผู้ร่วมงาน เพื่อนสนิท แต่เขาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อทุกๆ คน มันไม่ได้เรียกว่า การประกาศตัว แต่มันเรียกว่า “การยอมรับความจริงของตัวเอง”

มีใครบางคนเคยบอกว่า มันเจ็บปวดต่อคนรอบข้างที่ต้องรับรู้ความจริง แต่คุณจงเชื่อเถอะว่า สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ปัจจุบันเจมส์พบรักกับหนุ่มออสซี่นักการเงินวัยใกล้เคียงกัน และซื้อบ้านอยู่ในด้วยกันในนิวเจอร์ซีย์ นิตยสารข่าว เน้นแวดวงการเมืองอเมริกันอย่าง Advocate พาดหัวข่าวตัวโต โดยมีภาพเขากับแฟนขึ้นปกว่า Happy At Last!

หวังว่า คุณผู้อ่านของผมจะมีวันนั้นเหมือนกันนะครับ

-end-
All rights reserved.

5 comments:

Anonymous said...

ใช่เลยครับ เดี๋ยวนี้ผมเลิกกลบร่องรอยของตัวเองแล้ว
อย่างเช่น เลิกซ่อนโฟลเดอร์มหัศจรรย์ บุ๊คมาร์คลิงค์เกย์ไว้เพียบ
ถ้าที่บ้านเค้ามาค้นก็แสดงว่าอยากรู้
ในเมื่ออยากรู้ก็จะให้รู้ไปเลย

มันต่างกับที่จู่ ๆ เราไปบอกว่าเราเป็นเกย์
เพราะอันนั้นเค้าอาจจะไม่พร้อมที่จะรู้ก็ได้
แต่ถ้าเค้าอยากรู้ก็แสดงว่าพร้อมแล้ว
ตอนนี้ถึงไม่ได้ระวังเท่าไหร่แล้วล่ะครับ

Anonymous said...

แอบแว๊บมาอ่านค่ะ ขอพักยกจากหนังสือหน่อย พี่วิทยื ขอบคุณสำหรับคำอวยพรเรื่องสอบนะคะ อ้อ เราส่งของไปให้พี่วิทย์ที่สำนักพิมพ์ แวะไปเอาด้วยนะคะ

คิวว์ said...

อยากให้นักการเมืองไทยหลายๆคนยอมรับแบบนี้มั่งจัง

เมื่อไหร่คนที่เป็นเกย์จะถูกยอมรับจากสังคมว่าเป็นคนปกติซักที

^^'

Anonymous said...

Happy at least!

ชอบคำนี้จังครับพี่

Anonymous said...

Happy at last ครับ at least ไม่ดีแน่

แล้วภรรยาเก่าเขาเป็นอย่างไรบ้างนี่?