Sunday, December 03, 2006

เคล็ดลับ...พาผู้ชายเข้าบ้าน

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 2-3 Dec 2006

“โรจน์” กับ “รุ่ง” คบกันมาสามปีกว่าๆ ทั้งสองพบกันที่ฟิตเนสแห่งหนึ่ง ไม่ได้เจอกันในห้องอบซาวน่าหรืออบไอน้ำหรอกนะครับ

ในฐานะผู้อาวุโสกว่า และหลังจากประสานสายตากันจังๆ มาสองสามครั้งแล้ว โรจน์ก็เปิดฉากเดินเข้าไปคุยกับรุ่งก่อน

ก่อนเขาจะเล่าต่อ ผมถามโรจน์ว่า รู้ได้ไงว่า รุ่งน่ะ “ใช่”

“ก็พอมี ‘เกย์ดาร์’ ส่งสัญญาณออกมาอยู่บ้างล่ะครับ ผมเดินผ่านไป ผ่านมา ก็เห็นเขา เห็นนานแล้ว คืออย่างงี้ ถ้าเขาสบตาเราสักสองหรือสามครั้ง ก็ใช่แล้วล่ะ ผมก็เข้าไปทักธรรมดา เดินเข้าไปเลย ผมไม่ปล่อยโอกาสหรอก เดี๋ยวมัน ‘จะหมดเวลา’”

วันที่เราสัมภาษณ์โรจน์ในรายการฮอตไลน์สายสีรุ้งนั้น เราได้เปิดเพลงของโฆษณามือถือ เป็นเพลงเด็กแนวเพลงหนึ่ง พอเขาฟังจบ เขาก็เลยย้ำอีกว่า คนเราอยากจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ เพราะต้อง “ระวังหมดอายุ”

แล้วเขาก็เล่าต่อเกี่ยวกับวิธีการ “เข้าหา” ในแบบฉบับของเขา

“ผมว่า คนที่เด็กกว่า ไม่กล้าเข้ามาทักหรอกครับ เราต้องพกความเป็นผู้ใหญ่ของเราเข้าไปก่อน และอีกอย่างคือ ต้องสุภาพจริงๆ ผมก็ชวนคุยเรื่องทั่วไป อย่าง เล่น (ฟิตเนส) มานานยัง? มากี่วันต่ออาทิตย์?”

แรกๆ ก็ชวนไปกินข้าว ดูหนังตามเรื่อง เขาเล่า พอเริ่มสนิทกัน เขาก็พาเข้าสู่ประเด็นที่อยากรู้ที่สุด เขาบอกรุ่งในวันหนึ่ง อย่างไม่อ้อมค้อมเหมือนกลัวจะหมดอายุนั่นแหละ

“ชอบครับ...แล้วมีแฟนหรือยัง” โรจน์รุกต่อ ส่วนน้องรุ่งก็ยังคงเฉยๆ อาการเฉยๆ ของเขาทำให้โรจน์เข้าใจว่า น่าจะโอเคนะ

ตอนนั้นโรจน์เพิ่งหายจากอาการอกหัก แต่เขาก็ไม่กลัวที่จะค้นหาใครคนใหม่ ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็กำลัง “ดูๆ” หนุ่มภูเก็ตอยู่คนหนึ่ง ทั้งสองยยังไม่เคยพบกันตัวเป็นๆ คุยแต่ทางเน็ตและโทรศัพท์เท่านั้น

หลังจากรุ่งโดนรุกด้วยคำถามนั้น เขากลับหายหน้าไปหนึ่งอาทิตย์ โรจน์คิดว่า คงถึงเวลาทำใจ กินแห้วซะแล้ว แต่เขาบอกตัวเองว่าจะไม่หยุดค้นหา เวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น เขาทั้งสองไม่ได้โทรคุยกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่โรจน์รู้ว่า จะได้เจอรุ่งที่ฟิตเนสอีกแน่ๆ และในการพบกันที่เดิมคราวนี้ เป็นโรจน์เองที่รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินข้อเสนอ...

เขาบอกว่า “ขอแวะไปบ้านหลังจากเล่นฟิตเนสเสร็จน่ะครับ”

คุณผู้อ่านครับ ผมเชื่อว่า บางท่านจะบอกว่า...เป็นผม ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก มีอะไรกันก่อน-ก่อนจะคบกันเป็นแฟน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีอะไรกันก่อน หรือมีอะไรกันทีหลัง ก็ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่า เราจะคบกันได้ยาวนานแค่ไหน คุณว่าเปล่า?

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โรจน์และรุ่งใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นก็คือวันนั้นเองที่รุ่งไปบ้านโรจน์ ระหว่างนอนคุยเล่นกันอยู่ จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น ฟังจากเสียงเพลงของโทรศัพท์ โรจน์รู้ว่า เป็นหนุ่มภูเก็ตคนนั้น แต่เขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้รุ่งฟังก่อนหน้านี้แล้ว โทรศัพท์ยังคงดังต่อไป และแล้วในวินาทีสำคัญ รุ่งก็เข้ามากอดตัวโรจน์ไว้แน่น ยึดตัวเขาไว้ ไม่ให้รับโทรศัพท์

โรจน์มั่นใจแล้วว่า รุ่งอยากจะไปต่อกับเขา

และเพิ่งจะกลางปีนี้เองที่โรจน์เพิ่ง “ได้ฤกษ์” เข้าบ้านรุ่งซะที –ในฐานะแฟนอย่างเปิดเผยและสง่าผ่าเผย

ผมว่า...คงมีหลายท่านที่คบหากับใครคนหนึ่งมานานหลาย ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยบอกใครเลย ทั้งพ่อแม่หรือพี่น้องทางบ้านของคุณ หรือของเขา คุณอาจจะยังไม่เคยพา “เขา” คนนั้นไปเหยียบบ้านเลยสักครั้ง จะด้วยเหตุผลหนักหนาน่าจะถึงสาหัส อันเป็นภาพน่ากลัวที่ใครๆ ก็ชอบคิด หรือด้วยเหตุผลเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่คอยยับยั้งคุณไว้ บังคับกดขี่ให้คุณต้องปกปิดทุกๆ คนกระทั่งเพื่อนสนิท

ถ้าคุณสองคนยินยอมคบหากันอย่างลับๆ ต่อไป หรือตลอดไป คงไม่น่าจะมีปัญหา

“ก็ไม่เห็นจำเป็นนี่ที่ต้องใครมารับรู้ด้วย” ผมมักจะได้ยินคำพูดนี้บ่อยๆ จริงๆ แล้ว ผมเองก็เคยพูดแบบนี้มาเหมือนกัน

แต่พอถามลึกๆ ว่า คุณเคยนึกอยากจะกู่ก้องร้องประกาศอะไรพรรค์นี้ให้คนอื่นรับรู้บ้างไหม...

“ฉันมีความรัก ฉันรักเป็นแล้ว...และคนๆ นี้แหละคือ คนที่ฉันรัก” ถ้าคุณมีคนนั้นอยู่ข้างใน คุณลองดูสิ จะสบายใจสุดๆ เลย

ฟังดู...ผมเว่อร์ไปเปล่า? เอาเถอะ วันหนึ่ง คุณจะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกนั้นเอง เมื่อถึงเวลาของคุณ ตอนนี้ถึงเวลาของนายรุ่งแล้ว

หลังจากรุ่งตกลงเป็นแฟนกับโรจน์ เขาคงคิดมาตลอดว่า จะเปิดเผยความรักของเขาให้ทางบ้านรับรู้ได้ยังไง? สามปีกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันแรกที่ทั้งสองพบกันที่ฟิตเนสแห่งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ แต่ตอนนี้โรจน์และรุ่งกำลังจะสร้างวันสำคัญขึ้นอีกวันหนึ่ง

แล้ววันนั้นของเขาก็มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อราวต้นปีนี้เอง พี่สาวของรุ่งเพิ่งคลอดลูก แม่ของเขาทั้งสองคือ “อาม้า” ก็ต้องไปอยู่ดูแลเฝ้าลูกสาว รุ่งจัดการถ่วงเวลาจนหมดเวลาเยี่ยมราวสองทุ่ม เขารู้ดีว่า นี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะเปิดตัวโรจน์ เขาจัดการโทรหาแฟนหนุ่มแล้วบอกว่า ให้มารับที่โรงพยาบาล

ปกติโรจน์จะขับรถไปรับรุ่งหลังงานเลิกงานแล้ว และกลับบ้านพร้อมกัน บ้านของทั้งสองบังเอิญอยู่ในเส้นทางเดียวกัน แต่วันนี้โรจน์จะขับรถไปโรงพยาบาลแทน

ผมถามเขาว่า รู้สึกตื่นเต้นหรือเปล่า เพราะนี่ถือเป็นกึ่ง “แกรนด์โอเพนนิ่ง-เปิดตัวครั้งใหญ่” เลยนะ แต่สำหรับโรจน์แล้ว เขาบอกว่า เขาจะพยายามทำตัวปกติธรรมดา สิ่งที่โรจน์ทำก็เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ไปรับรุ่ง

เมื่อไปถึงที่หมาย ครอบครัวของรุ่งรออยู่แล้ว พอรถจอดเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินสวนทางกัน รุ่งเดินมาเปิดประตู แล้วนั่งที่คนขับ ส่วนโรจน์พาตัวเองไปนั่งข้างๆ แทน แน่นอนล่ะครับ สิ่งที่สองหนุ่มทำ ไม่มีทางหลุดพ้นจากสายตามารดาและคนอื่นๆ แน่ แผนที่หนึ่งเริ่มแล้ว

“ผมก็รู้มาก่อนว่า ไม่ใช่ไปรับเขาคนเดียว ก็ไม่ได้เตรียมตัวพิเศษอะไรนะ ตอนนั้น ผมเพิ่งออกรถใหม่ แต่ผมจะขี้เกียจขับ ให้เขาขับประจำ วันนั้นผมก็ขับไป ทุกคนมาถึงรถ ผมก็เปิดประตู สลับที่กัน ทุกคนก็อึ้ง ไม่เห็นพูดอะไรกัน รถผม น่าจะขับเอง ในรถก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไร” โรจน์เล่า

นัดที่หนึ่งผ่านไปด้วยดี แม้โรจน์จะไม่ได้เดินเข้าบ้านรุ่งในวันนั้นเพราะเริ่มจะดึกแล้ว ระยะทางจากจุฬามาถึงย่านสำโรงนั้นไกลไม่น้อย

ถึงวันเสาร์ โรจน์ก็ขับรถไปรับรุ่งที่บ้านเพื่อออกไปซื้อของกัน กลับมาตอนกลางคืน พารุ่งกลับมาส่งบ้าน ไม่รู้ว่า นี่เป็นแผนสองหรือยังไงนะ แต่โรจน์บอกให้แฟนเดินเข้าบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองยังคงนั่งอยู่ในรถ ไม่เดินเข้าไปในบ้าน และแล้ว “อาม้า” ก็เห็น เลยบอกให้แฟนของพี่สาวออกมาตาม

“ผมก็เดินตามเข้าไปล่ะครับ อาม้าก็ทำโน่นทำนี่มาให้กินเยอะแยะ บอกให้รออยู่กินข้าวด้วยกัน ตอนนี้ทุกเสาร์-อาทิตย์เลยต้องไปกินข้าวบ้านเขาตลอดพร้อมหน้ากันกับคนอื่นๆ ผมว่า สิ่งหนึ่งที่ผมทิ้งไม่ได้เลยคือ เวลาเจอหน้าอาม้า ทุกครั้ง ก็ต้องไหว้ทุกครั้ง จะลากลับบ้าน ก็ต้องไหว้เหมือนกัน”

ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงนึกสงสัยว่าทำไมอาม้าหรือคนอื่นๆ ในบ้านไม่ตั้งคำถามอะไรซักที? โรจน์ประเมินสถานการณ์แล้วคิดว่า คงเป็นเพราะที่ผ่านมารุ่งไม่เคยคบกับใครไม่ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย รุ่งไม่ได้มีอาการ “ออกสาว” เพียงแต่เป็นนักช้อปเครื่องสำอางมือหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นโชคก็คือ ที่บ้านของรุ่งแม้จะเป็นคนจีน แต่ก็เป็นคนจีนหัวสมัยใหม่

“ทางบ้านเขาไม่เคยถามอะไรครับ เขาคงรู้แล้ว เราก็ไม่เคยบอกอะไรไป” โรจน์เล่าต่อ

ส่วนบ้านโรจน์ก็รับรู้สิ่งที่เขาเป็นมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งหนึ่งโรจน์เล่าว่า ทางบ้านอยากให้เขาแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเพราะพี่ๆ แต่งกันหมดแล้ว เหลือเขา-น้องคนสุดท้องคนเดียว แล้วพี่สะใภ้ก็รับหน้าที่หาสาวมาให้ดูตัว และยังโดนสั่งให้พูดจาหว่านล้อมเขา เขาบอกปัดไปว่า “ใครหามา ก็แต่งไปเอง”

“สุดท้ายพี่สะใภ้นั่นแหละเข้าใจผม เข้าข้างผม” เขาเล่า

ที่บ้านรุ่ง เหมือนต่างคนต่างรู้ แต่ถ้าไม่เคยพูดอะไรว่างั้นเถอะ แต่ดูเหมือนคนที่อยากจะ “สื่อสาร” มากที่สุด กลับเป็นอาม้า

โรจน์เล่าว่า วันหนึ่ง อยู่ๆ อาม้าก็บอกว่าอยากจะไปดูหนังเรื่องหนึ่ง หนังที่ไม่มีใครทางบ้านคิดว่า อาม้าจะอยากไปดู

“เขาอยากไปดู ‘แก๊งชะนีกับอีแอบ’ อยากไปดูมาก เลยชวนลูกชายคนโตไปดู ผมก็ตกใจ เหมือนกัน พี่สะใภ้ก็เลยไปด้วย เหมือนเขาต้องการจะเข้าใจอะไรบางอย่าง” โรจน์เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้วล่ะครับที่โรจน์เดินเข้าออกบ้านรุ่ง และรุ่งก็ทำเช่นกันในทางกลับกัน เหมือนคนธรรมดาทั่วไปคบหาเป็นแฟนกันอย่างเปิดเผย

ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้รับการ “รับรู้” จากทั้งสองบ้านแล้วละดูจะยิ่งแนบแน่นยิ่งขึ้น

มีอยู่หนหนึ่ง หลานๆ ร้องงอแงบอกว่า อยากตามโรจน์กับรุ่งไปต่างจังหวัดด้วย อาม้าของรุ่งก็บอกหลานๆ ทันทีว่า

“ไม่ต้องไปหรอก หนุ่มสาวเขาจะจู๋จี๋กัน”

บอกต่อกันไป : หนังดังจากเกาหลีเมื่อต้นปีลงโรงฉายแล้ว “King and the Clown” เรื่องราวรักสามเศร้าต่างวรรณะ ต่างความใฝ่ฝันของผู้ชายสามคน คุณอาจจะเสียน้ำตา หรือซาบซึ้งกับความเข้าใจและเสียสละให้กับคนที่คุณรัก เริ่ม 7 ธ.ค. สยามพารากอนและแกรนด์อีจีวี

-end-

All rights reserved.

10 comments:

Anonymous said...

โชคดีจังที่พ่อแม่เข้าใจ พี่วิทย์ king and the crown จะเข้าแล้วเหรอเนี่ย ได้ฤกษ์ลงจอซักที หลังจากเจอโรคเลื่อนมาหลายเดือน อ้อ เราส่งเมล์ไปหาเมื่อวานนะคะตอบด้วยค่ะ พี่วิทย์ไม่ตอบเมล์เราเลย

Anonymous said...

ติดตามอ่านมาตลอดครับและทุก ๆ บทความก็เป็นประสบการณ์ตรงที่เคยเกิดกับผมแล้วทั้งนั้นเลย อ่านไปก็คิดถึงเรื่องตัวเองในอดีต ไว้วันอื่น ๆ อาจจะเมล์ไปหาคุณวิทย์ เพื่อแชร์ประสบการณ์บ้างดีกว่า

Anonymous said...

แหมอ่านแล้วรู้สึกปลื้มไปกับเขาทั้งสองด้วยนะครับ ที่
ค้นพบความรัก เท่านั้นยังไม่พอที่บ้านยังเข้าใจด้วยอีก

ปีใหม่นี้ผมกับที่บ้านจะไปเที่ยวที่เชียงใหม่ และผมก็ชวน
แฟนผมไปด้วย จริงๆที่บ้านกับแฟนก็เคยเจอกันหลาย
ครั้งแล้ว เพราะแฟนผมก็ช่วยเป็นธุระเรื่องที่เมืองไทย
ของผมหลายอย่าง

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่บ้านผมเขาจะเห็นเป็นอย่างไร
แต่ผมคิดว่าที่บ้านผมคงเหมือนกับครอบครัวรุ่งนะครับ
เดาว่าเขาก็คงจะรู้แหละแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งผมว่าก็
ดีนะครับ เพราะให้ผมบอกตรงๆผมก็เขินเหมือนกัน กลัว
แฟนผมจะเขินด้วย

จุดประสงค์ที่พาแฟนเข้าบ้านของผมลึกๆก็คือเป็นการ
บอกใบ้ และส่งสัญญานอะไรบางอย่างไปให้ครอบครัว
ผมได้รู้ และเหมือนมันจะได้ผลด้วยสิครับ ^_^

O1235

Anonymous said...

อ่านบทความนี้แล้ว ผมรู้สึกมีความหวัง
หวังว่าครอบครัวของผมน่าจะเข้าใจและยอมรับสถานการณ์แบบนี้ได้นะครับ

“ฉันมีความรัก ฉันรักเป็นแล้ว...และคนๆ นี้แหละคือ คนที่ฉันรัก” ประโยคเด็ดที่สุดประโยคหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอมา ผมว่าจะมีเกย์สักกี่คนที่พร้อมประกาศแบบนี้พร้อมกันสองคน

ตอนนี้ผมคงรอเวลาว่าวันหนึ่งวันนั้นจะต้องเป็นวันของผมบ้าง

แต่ตอนนี้กลับกันตรงที่พ่อแม่ผมยังเชื่อว่าผมจะชอบผู้หญิงขึ้นมาได้บ้าง

เฮ้อออออ เหนื่อย คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขนาดอธิบายให้แม่ฟังไปตั้งเยอะแล้ว

Anonymous said...

"พาแฟนเข้าบ้าน"

ชอบบทความในวันนี้จังเลยค่ะ
อ่านไปยิ้มไป เคยคิดเหมือนกันค่ะว่าจะพาแฟนเข้าบ้านอย่างไร (ถ้าความสัมพันธ์ที่มีตอนนี้มันยืนยาวนะคะ)

ตอนนี้เหมือนที่บ้านจะรับรู้แล้วค่ะ
ปกติสาวอิสานรอรักจะเดินทางมากค่ะ
เดี๋ยวไปนั่น เดี๋ยวไปนี่ เวลาเดินทางก็จะส่ง
โปสการ์ดถึงตัวเอง ค่ะ
ประมาณว่า เขียนอะไรส่งถึงตัวเอง
จนมากระทั่งปีนี้ ได้มีโอกาสทำความรู้จัก
กับใครคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นใครคนหนึ่งซึ่งพิเศษ
ไปแล้ว
ได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกัน
เขาแอบส่งโปสการ์ดมาถึงสาวอิสานรักรักค่ะ
คราวนี้ ที่บ้านคงได้อ่านแล้วแน่ๆ สำหรับข้อความ
ที่มันปรากฏในโปสการ์ดนั่น มันก็เป็นการบอกใบ้เป็นนัยๆ
ที่บ้านก็เงียบๆ แต่ดูเหมือนจะรับรู้แล้ว
(คราวนี้ก็เหลือแต่ พาตัวเป็นๆ ไปทำความรู้จักค่ะ (แผนสอง))

ที่สำคัญที่สุค คือ คุณต้องเป็นคนดี พ่อแม่ไว้ใจค่ะ
พอเรารับผิดชอบอะไรได้แล้ว ท่านก็คงจะเชื่อ
และยอมรับในการตัดสินใจของเราค่ะ

แน่นอนค่ะ ว่า ท่านคงจะไม่ยอมรับในทันที
คราวนี้ เราๆ ท่านๆ ก็ค่อยให้ ให้ ความรู้ท่านทีละนิดค่ะ (จะได้ไม่เป็น Bad case , Bad Education)

เข้ามาแขร์ประสบการณ์ค่ะ
สาวอิสานรอรัก

Anonymous said...

Super อาม่า

555

Anonymous said...

เป็นปลื้มแทนครับ

Anonymous said...

วันนี้ไปดูหนังที่คุณแนะนำแล้ว
ชอบและอินกับหนังมาก
คำว่า .เข้าใจ. และคำว่า .เสียสละ.
ของคนรักและคนที่เรารักนั้น .อมตะ. จริงๆ
ขอบคุณที่แนะนำหนังดีๆให้รู้จักนะครับ
จะติดตามบทความของคุณวิทยาต่อไป

คิวว์ said...

--------------------------
“ไม่ต้องไปหรอก หนุ่มสาวเขาจะจู๋จี๋กัน”
--------------------------

อาม้าน่ารักเป็นบ้า

Anonymous said...

บอกตรงๆ ครับว่าอิจฉาคุณรุ่งโรจน์มากๆ

ทางบ้านผมทราบสถานะของผมดีครับ แรกๆ ท่านก็พยายามหาทางแก้ไข จนผมยืนยันว่าสิ่งที่เป็นมันเป็นไปตามธรรมชาติ

ผมเองก็เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร แต่ในใจลึกๆ กลับอยากบอกให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าคนนี้คือคนที่ผมรักนะ

ผมคงยังไม่กล้าพอที่จะพาเค้าคนนั้นเข้าบ้าน เพราะลึกๆ แล้วผมยังไม่แน่ใจเท่าไรว่าเค้าคนนั้นยอมรับผมขนาดไหน

เราเพิ่งผ่านการเลิกกันและกลับมาคบกันอีกครั้ง

หลายๆ อย่างในตัวเค้าบอกผมว่าเค้ายังมีใครอื่นอยู่

เอาไว้ให้ผมผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ก่อน ผมก็อยากให้คนที่ผมรักยอมรับในตัวผมเหมือนกันคับ

ดีใจกับคุณรุ่งโรจน์ด้วยครับ ^^