Sunday, January 29, 2006

“อาการแอบ” ที่อาจกลายเป็น “ข้ออ้างตลอดไป” ของคุณ


เลิกแอบเสียที/วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์

vitadam2002@yahoo.com

28-29 มกราคม 2006

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมพบเรื่องราวของคนสองคน ดูเหมือนเรื่องของเขาทั้งสองจะไม่เกี่ยวกัน แต่ก็เหมือนกันอยู่ในทีจนผมอดนำมาคิดอีกไม่ได้

ขอเรียกเจ้าของเรื่องทั้งสองว่า “นายหนึ่ง” กับ “นายสอง” ก็แล้วกัน เรื่องของนายหนึ่งจะยาวหน่อย

เขาไม่ใช่พี่น้องกัน ไม่ใช่เพื่อนกัน ไม่ได้เป็นแฟนกัน กระทั่งไม่ได้รู้จักกัน แต่เขาทั้งสองคนก็อาจเป็นตัวแทนของอีกหลายๆ คนที่ยังคิดว่า คอลัมน์ “เลิกแอบเสียที” นี้ ยังคงเป็นประโยชน์อยู่ ผมดีใจที่ยังมีคนติดตาม

ผมจำได้ว่า เดือนหน้าก็คงจะครบหนึ่งปีแล้วที่ผมรู้จักกับนายหนึ่ง เขาเป็น “ท่านผู้อ่าน” คนหนึ่งมาก่อน ก่อนที่จะเป็นเพื่อนที่แสนดีและไว้วางใจกันได้

จากที่ไม่เคยสัมผัสสังคมชาย-ชายมาก่อนเลย ตอนนี้หนึ่งปีให้หลัง นายหนึ่งคนนี้กลายเป็น “หนุ่มเนื้อหอม” ที่มีคนใบผับชอบมาขอเบอร์โทรศัพท์เป็นประจำ การปฏิเสธไม่ให้เบอร์โทรฯ มักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเขาคนนี้ เรียกได้ว่า ถ้ามี “รางวัลหนุ่มผับมิตรภาพ” เขาต้องได้ไปครองแน่ๆ ผมเลยเสนอเขาว่า น่าจะลงทุนติดบิลบอร์ดตรงทางด่วน แล้วประกาศเบอร์โทรศัพท์ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกันเสียเลย

วันก่อน เราโทรฯ คุยสารทุกข์สุกดิบตามปกติ เขาก็เล่าเรื่อยเปื่อยว่า ไปทำอะไรมา เช่นไปกินข้าวกับเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือกันเสมือนเป็นพี่ชาย ฟังดูแล้ว ก็สนิทสนมกันดีแท้ ด้วยอาการคัน ผมเลยแหย่เขาว่า สนิทกันอย่างนี้...แล้ว “พี่ชาย” คนนี้รู้หรือยังว่า...“น้องชาย” เป็นเกย์น่ะ

เท่านั้นแหละครับ เราก็ถกเรื่อง “แอบ” กับ “เลิกแอบ” กันอีกพักใหญ่

พวกเพื่อนๆ บางคนของผมมักจะเรียกว่า ผมกำลังมีอาการ “ของขึ้น”

ครับ...ยอมรับก็ได้ ก็จริงอย่างที่ว่านั่นแหละ เวลาพูดถึงประเด็นนี้ทีไร ผมรู้สึกนิสัยเสีย อยากเอาชนะซะทุกที

ที่ผ่านมา ผมรู้ตัวดีนะครับว่าดูเหมือนจะหวังให้อะไรเกิดขึ้นเร็วไปหน่อย จะโทษโลกแห่งข่าวสารที่หมุนเร็วก็ใช่ที่ แต่ผมก็ชอบที่จะทำอย่างนี้แหละครับ

เคยมีผู้อ่านท่านหนึ่งลงท้ายจดหมายว่า “ขอโทษครับที่ผมยังแอบอยู่” ผมเลยไม่รู้ว่า ผมควรจะทำยังไงต่อไปกันแน่ ขำก็ขำล่ะครับที่เขามาขอโทษผม แต่อีกมุมหนึ่ง ผมต้องคอยคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำจนได้ เอาเถอะ สุดท้าย ผมก็บอกตัวเองว่า ผมยังชอบที่จะทำอย่างนี้ต่อไป- ชวนคนให้เลิกแอบ อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้สึกว่า การแอบตลอดไปจะส่งผลร้ายกับชีวิตมากกว่า การอยู่อย่างเปิดเผย แม้มันจะเป็นเส้นทางที่เจ็บปวด แต่มันคุ้ม

ข้อถกเถียงของผมที่มีกับนายหนึ่งเริ่มขยายขอบเขต ผมบอกเขาว่า ผมไม่เข้าใจว่า คนอย่างเขา ซึ่งถึงพร้อมแล้วทุกสิ่ง ทั้งการศึกษา การงาน ที่บ้านก็ไม่เคยบังคับให้แต่งงาน พี่น้องเพื่อนฝูงรักใคร่อาทร และอายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่ทำมั๊ยยังไม่คิดจะเลิกแอบเสียที?

ผมบอกเขาอีกว่า ด้วยความจริงใจ ไม่ได้คิดกัด ผมรู้สึกสงสารเพื่อนๆ ในโลกชาย-หญิงของเขา รวมทั้ง “พี่ชาย” คนนั้นของเขาด้วยที่ไม่เคยรู้เลยว่า เขาเป็นใคร

ภายใต้การบริหารโลกสองใบของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมขอปรบมือให้เขาที่โลกชาย-หญิงของเขา และโลกชาย-ชายของเขายังไม่เคยมาปะทะกันเลย

แต่รู้หรือเปล่า…

ขณะที่เพื่อนๆ ในโลกชาย-ชายของเขา ซึ่งรวมผมอยู่ด้วยคนหนึ่ง ได้รับรู้เรื่องราวของคนในโลกชาย-หญิงของเขาตั้งหลายๆ อย่างและหลายๆ เรื่อง แต่เพื่อนๆ ในโลกชาย-หญิงของเขารวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของเขากลับไม่รู้เรื่องราวของเขาในโลกชาย-ชายของเขาเลยแม้แต่สักกะผีก

ไม่ใช่สิ พวกเขาไม่เคยรู้จัก “ตัวจริง” ของเขาเลยต่างหาก “มันน่าเศร้านะ และไม่ยุติธรรมด้วย เพราะอย่างน้อย ก็เกิดความไม่เท่าเทียมกันในโลกแห่งข่าวสาร” ผมบอกเขาไปอย่างนั้น

เขาตอบทีเล่นทีจริงว่า “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ที่รู้มากกว่าใคร”

ก็จริง ผมยอมรับ แต่ผมก็อดบอกเขาไปอีกไม่ได้ว่า ในขณะเดียวกันหากมองในมุมกลับ ความจริงก็คือ ผู้คนและเพื่อนๆ ในโลกชาย-ชาย ของเขาก็ไม่ผิดอะไรกับ “บุคคลผู้ไร้ตัวตน” ต่างหาก เพราะพวกเขาจะ “ไม่เคยมีตัวตน” และ “ไม่เคยมีความหมายอะไรเลย” สำหรับชีวิตเขายามที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง

สุดท้าย ข้อถกเถียงกันของเราก็ไร้ข้อยุติ แต่เขาได้บอกออกมาว่า คงเป็นเพราะชีวิตเขา “ไม่มี pressure (แรงกดดัน) ที่ต้องบอกความจริงมั้ง”

มาฟังเรื่องราวของนายสองกันบ้าง

เช่นกัน นายสอง หนุ่มอีกคนที่มีพร้อมแล้วทุกอย่างแต่ยังไม่ได้บอกที่บ้านว่า ตัวเองเป็นใคร วันหนึ่งตอนที่เขาไม่ค่อยสบาย เขาโทรมาหาผม เขาเล่าว่า หมอตรวจแล้วพูดทีเล่นทีจริงว่า สงสัยเป็นเอดส์มั้ง ด้วยความที่เป็นคนมีอารมณ์ขัน เขาก็ไปเล่าเรื่องที่หมอแซวให้แม่ฟัง แต่แม่กลับบอกเขาว่า คงเป็นเพราะหมอรู้ว่า เขาเป็น “พวกเบี่ยงเบน”

ผมคิดว่า มันเป็นคำพูดที่เจ็บปวดมากยิ่งมาจากคนที่เป็นบุพการี ถ้าเกิดกับผม ผมก็คงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่า นายสองตอบโต้มารดาไปว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ ไม่เคยหยิบยกมาพูดกันอีกเลย และดูเหมือนจะเกิด “สงครามเย็น” ขึ้นในบ้านแล้ว

หลายครั้ง ผมสนับสนุนให้นายสองหาโอกาสเหมาะๆ นั่งคุยกับมารดา เพราะนั่นคือโอกาสทองที่มีการหยิบประเด็นนี้มาพูดกัน แม้จะต้องกล้ำกลืนฝืนตัวเองก็ตาม

ถ้าท่านผู้อ่านเชื่อที่เขาพูดกันว่า “no pain, no gain” ผมก็อยากจะบอกเพิ่มเติมด้วยว่า pain หรือความเจ็บปวดน่ะ มันจะเกิดขึ้นแล้วก็จะจางหายไป แต่ gain หรือสิ่งที่ได้รับเป็นรางวัลกลับมา จะคงอยู่กับเราตราบชั่วนิรันดร

แบ็คกราวน์นายสองก็เหมือนนายหนึ่งแทบทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว การศึกษา เรียกได้ว่า แทบจะมาจากพิมพ์เดียวกัน ผมไม่รู้ว่า หากวันไหนนายหนึ่งเกิดมี “pressure” ขึ้นมา อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนที่เกิดขึ้นกับนายสอง ผมก็ยังเชื่ออยู่ดีว่า นายหนึ่งก็คงทำเหมือนอย่างนายสองทำนั่นแหละ คือ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริงเสียที

สุดท้าย ผมไม่รู้ว่า ผมได้ข้อสรุปที่ดีสำหรับเรื่องนายหนึ่งกับนายสองหรือยัง คงต้องฝากท่านผู้อ่านต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ คนเราไม่ต้องยกคำอ้างใดๆ มาเพื่อจะคงสภาพ “ชีวิตแอบๆ” หรอก
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ “ใจ” เราทั้งสิ้น เราเองต่างหากที่เป็นคนเลือกที่จะแอบหรือเลือกที่จะปกปิด ไม่ต้องรอ pressure ใดๆ ให้เกิดขึ้นหรอก

การที่เรายังต้องปกปิดกันอยู่ไม่เลิก จะเพราะอะไรก็ตาม มันเป็นเพียง “คำแก้ตัว” ทั้งสิ้น

ท่านผู้อ่านครับ สงสัย ผมคง ของขึ้น อีกแล้วมั้ง

-end-

All rights served.

8 comments:

Anonymous said...

พี่วิทย์คงของขึ้นจริงๆค่ะ อาจเป้นเพราะว่าพี่วิทย์เปิดเผยตัวเองแล้ว พี่ก็เลยสบายใจ สามารถคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง แต่เกย์ส่วนใหญ่ในสังคมไทย ไม่กล้าcome out ค่ะ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องยอมรับ สังคมไทยรับรู้ค่ะ ว่าเกย์มีจริง แต่สังคมไทยไม่ยอมรับว่าเกย์เป็นอีกหนึ่งเพศสภาพที่มีอยู่จริงในเมืองไทย อีกอย่างสังคมที่เกย์คนนั้นๆอยู อาจจะไม่ยอมรับเกย์หรือเกลียดเกย์อย่างรุนแรงก็ได้ เรายังไม่กล้าเปิดเผยตัวกับแม่เลยว่า เราเป็นสาววาย อ่านนิยายเกย์ เข้าเว็บแฟนฟิควายทุกวัน ติดต่อกับพี่วิทย์ทางอีเมล์ เข้าไปอ่านกระทู็ของคุณวิศรุตที่พันทิพ แถมเซฟเก็บไว้ในคอมอีกต่างหาก อยากดู brokeback mountain มากถึงมากที่สุด คนเราต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองค่ะ อีกอย่าง พ่อแม่เราเป็นพวกโฮโมโฟเบีย เหตุผลนี้ไงเราถึงไม่เปิดเผยตัวว่าเราเป็นสาววาย นิยายเกย์ทุกเล่มถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องค่ะ
ปล brokebake mountain นอกจากที่เฮ้าท์แล้ว เข้าที่ไหนอีกบ้างคะ อีกอย่างข่าวล่าสุดที่เรารู้มาเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ คุณโตมร ศุขปรีชา บก GM เป็นคนแปลบทบรรยายหนังค่ะ

Anonymous said...

คห. ข้างบน พิมพ์ผิดเยอะมาก ขอโทษทีค่ะ ชื่อภาษาไทยของ bbm คือ ภูเขาเร้นรักค่ะ อ่านเจอจากห้องเฉลิมไทย ในพันทิพมา อ้อ พี่วิทย์ เราส่งเมล์ไปให้นะคะ ต้องการคำปรึกษาด่วนค่ะ

Anonymous said...

อืม เราก็ไม่กล้าบอกพ่อแม่เหมือนกันว่าเปนสาววาย ไม่รู้สินะ รู้สึกไม่อยากทำให้เค้าเสียใจ คือไงล่ะ เราไม่ค่อยสนิทกะพ่อแม่ ก็เลยคิดว่าเค้าคงอยากให้เราเหมือนคนทั่วๆไปมากกว่า อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ยังรู้สึกว่ายังทำให้เค้าภูมิใจไม่ได้เท่าที่ควร
เราคิดว่าเกย์ที่แอบอยู่เค้าคงไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ(ล่ะมั้ง..)คือเรามีเพื่อนคนนึงเวลาอยู่ที่ร.ร.เค้าจะยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่พออยู่กะพ่อกะแม่เค้าจะทำตัวคนละแบบเลย
รู้สึกสงสารเค้าเหมือนกัน

Anonymous said...

พี่วิทย์ ขอบคุณสำหรับคำปรึกษาค่ะ คห.ข้างบน ขอแก้ค่ะ ชื่อภาษาไทยของ bbm คือ หุบเขาเร้นรักค่ะ พิมพ์ผิดอีกแล้ว ขอโทษที พี่วิทย์ เราส่งกระทู้รูปล่าสุดของ bbm จากพันทิพไปให้แล้วนะคะ ได้รับหรือเปล่า เมล์มาบอกด้วยนะคะ

Vitaya S. said...

ถ้าใจเรายังรู้สึกอยู่ว่า ความเป็นเกย์เป็นปัญหาที่จะพาให้ใครๆ ทุกข์ร้อน เราจะไม่มีวันทำอะไรได้เลย และต้องยอมรับกับสถานการณ์น่าอึดอัดและทุกข์ใจตลอดไปโดยไม่มีเงื่อนไข สิ่งนี้เรียกว่า ชีวิตที่ดีหรือ?

Anonymous said...

การยอมรับตัวตน ของตนเอง เป็นสิ่งที่ยากมากๆ สำหรับเกย์แอบทุกคน ผมเองกว่าจะยอมรับว่า ตนเองเป็นเกย์ ผมต้องอาศัยเวลาตั้ง 40ปี ผมผ่านทุกข์ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านร้าวรานมากมาย แต่ก่อนรู้สึกเกลียดตนเอง เกลียดตรงที่เราเป็นชาย แต่เราทำไมถึงต้องมาชอบผู้ชายเหมือนกัน ผมเป็นลูกที่พ่อแม่รัก และ ตั้งความหวังมาก ไม่อยากทำให้เขาเสียใจ แต่ตอนนี้บอกความจริงกับแม่แล้ว แม่รับได้ เหลือแต่พ่อ
แต่ก็จะบอกเมื่อได้เวลาที่เหมาะสม อยากบอกเกย์แอบทุกคนว่า ให้รักตนเองให้มากๆก่อน ทำความเข้าใจตนเอง อย่าเกลียดตัวเอง เราไม่ผิดหรอกที่เกิดมาเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติให้เราเป็นแบบนี้ มีคนมากมายที่เป็นเหมือนเรา อย่ากังวลไปเลย

Vitaya S. said...

จงใช้เวลา และให้เวลากับมัน ยอมรับความจริง ความจริงอาจทำให้เราและคนฟังเจ็บปวด แต่มันจะเจ็บตอนแรกๆ เท่านั้น เพราะชีวิตที่เหลือจะมีคุณค่า มีเวลามากขึ้น เมื่อเราไม่ต้องใช้มันบน "ความหวาดกลัว"

Anonymous said...

ผมเป็นคนนึงที่ คิดว่าจะแอบต่อไปจนตาย เพราะไม่มีเหตุผลที่จะบอกกับใครๆ ว่าเป็น แต่ถ้าเขาจะเข้าใจเองก็ไม่ว่าไร กับพ่อแม่ไม่บอกเด็ดขาด รู้ว่าเขาจะเสียใจทั้งบอกหรือไม่บอกเพราะเป็นลูกชายคนเดียว นั้นหมายถึงเขาหวังไว้มากกับผม
แต่ถ้าบอกนั้นก็จะดับความหวังของเขาทุกอย่างทันที
มันอึดอัดมากนะ แต่ผมก็หลุดปากบอกเพื่อน ญ ที่สนิทคนนึงไป เพราะตัดรำคาญ ผมคือเขาก็ไม่ถามและไม่ติดต่อมาอีกเลย สรุปมันเป็นดาบสองคมนะคับสำหรับสังคมไทย