เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ.ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 19-20 Aug 2006
เล่าค้างไว้สัปดาห์ที่แล้วเรื่องการเตรียมผลิตสื่อให้ชายรักชายใช้ถุงยางอนามัยกับสารหล่อลื่น ซึ่งเป็นโครงการรณรงค์ที่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อนในรูปแบบภาพยนตร์ เนื้อหาเยอะ แต่พอดีเนื้อที่สัมปทานที่ได้มาโดนจำกัด เลยเล่าไม่จบ
หวังว่า คงไม่ได้ทำให้ใครอารมณ์ค้างนะครับ
ครั้งที่แล้วพูดถึงเรื่องถุงยางอนามัยกับสารหล่อลื่นเป็นหลัก ครั้งนี้ก็ต้องขอย้อนความนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่เพิ่งมาทีหลังและเพิ่งอ่านในฉบับนี้
จากการสัมภาษณ์ผู้มาร่วม Focus Group และกรอกแบบสอบถามประกอบ เราพบว่า ในกลุ่มผู้ที่มาให้ข้อมูลจำนวน 20 คนนั้น บางคนมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ผมอ่านแล้ว ก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาคงจะ Safe Sex สุดๆ หรือไม่ก็เมื่อยมือกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้ดี ปลอดภัยจากโรคภัยนานา
บางคนก็บอกว่า มีเพศสัมพันธ์แบบใช้ถุงยางอนามัย แต่ไม่ใช้สารหล่อลื่น ซึ่งผมฟังแล้วก็เกิดความงงงวยเป็นอันมาก
สงสัยจริงๆ ว่า ผลิตสารหล่อลื่นในตัวเองได้หรือยังไง?
การสวมถุงยางอนามัยนั้นก็สำคัญนะครับ ลองศึกษาจากเว็บต่างๆ เรื่องเพศศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งมีสอนกันทั่วไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ไม่ค่อยรู้กัน
เพื่อนคนหนึ่งของผมเล่าให้ฟังว่า ได้ไปดูกระบวนการผลิตถุงยางอนามัย ที่โรงงานแห่งหนึ่ง เขาแสดงวิธีการทดสอบความปลอดภัยของถุงยางอนามัยด้วยการเจาะรูที่เล็กมาก เรียกว่าไม่มีทางมองเห็นด้วยตาเปล่า แล้วก็วัดรอยรั่วด้วยการลองใส่น้ำลงไป ปรากฏว่า ไม่มีน้ำซึมออกมาเลย แต่ความจริง ถุงยางอนามัยนั้นรั่วไปแล้วนะครับเมื่อทดสอบด้วยกล้องขยาย ลองคิดถึงเชื้อโรคดู หากเป็นเชื้อโรค ไม่ใช่น้ำ จะผ่านรูเล็กๆ นั้นได้หรือเปล่า?
ดังนั้นเวลาฉีกซอง ต้องระวังให้มากๆ อย่าให้เล็บไปโดน ชายใดที่นิยมไว้เล็บมือยาว ก็ต้องเพิ่มความระวัง ยิ่งในที่มืดๆ นะครับคุณ มองอะไรไม่ค่อยเห็น ไม่ควรผลีผลามร้อนรนจนเกินไป
อีกเรื่องหนึ่งที่ฟังดูตลก แต่ความจริงๆ ไม่ตลก เคยเขียนไปแล้วบ้างเหมือนกัน
ถ้าท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือเคยแล้ว แต่ไม่เคยใช้ หรือไม่เคยใส่ถุงยางอนามัยมาก่อน ขอแนะนำแบบคนรักกันเลยนะครับว่า ไปหาซื้อมาลองใส่ดู หนึ่ง จะได้รู้ว่า ขนาดไหนเหมาะที่สุดกับตัวเรา ใส่แล้วสบาย แล้วต่อไป เวลาไปหยิบ จ่ายตังค์ จะไม่เขิน เหมือนไปซื้อน้ำอัดลม
และสอง ลองใส่จนคล่องแคล่ว จะได้ไม่ทำเปิ่นให้ต้องอายเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ บางคนใส่กลับด้านก็มีนะครับ
เพื่อนอีกคนของผมแนะนำว่า หากรู้ตัวว่า ตัวเองเป็นคนมีความต้องการมาก ก็ให้พกถุงยางอนามัยติดตัวไว้ตลอดเวลาซะเลย ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทำเป็นประจำ เผื่อฉุกเฉิน ผมเลยขอดู เขาก็ห่อไว้อย่างดี
ล่ะครับ-ในซองลูกอม ใครเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นขนม
การสัมภาษณ์ในกลุ่ม Focus Group สามกลุ่มค่อยๆ ผ่านไปที่ละข้อๆ จนมาถึงเรื่อง ข้อความที่จะใช้สื่อสาร ต่อไปนี้นะครับ เป็นข้อความจริงที่ได้ใช้ทดสอบในกลุ่ม Focus Group วันนั้น คุณผู้อ่านลองอ่านดู แล้วถามตัวเองว่า รู้สึกยังไงเมื่ออ่านจบ
ข้อความที่หนึ่ง:
...ใช้ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นชนิดน้ำทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
ในการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างวันนั้น ทั้งสามกลุ่ม บอกตรงกันหมดว่า ไม่ชอบเล้ย คำว่า “ทวารหนัก” บางคนก็บอกว่า ไม่ชอบมีเพศสัมพันธ์ทางนั้น บางคนก็บอกว่า เป็นคำที่เห็นแล้ว “ไม่สบายใจ”
แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกยังไง?
พวกเขาเสนอแนะด้วยว่า ให้ใช้คำอื่นที่ฟังดู “นุ่มนวล” และ “สุภาพ” กว่านี้ พอมีคนยกตัวอย่างว่า ใช้คำว่า “ประตูหลัง” เป็นไง? ก็ยังไม่ชอบกันอยู่ดี ถึงตอนนี้จึงเป็นหน้าที่ของครีเอทีฟหัวตีบแล้วล่ะว่า จะใช้อะไรแทนดี
มีโอกาส ก็เลยเอาไปปรึกษากับคณะกรรมการชุมชนชายรักชายกรุงเทพฯ ซึ่งมีสมาชิกมาจากหลายหน่วยงาน ได้มาคำหนึ่งที่ฟังดูแล้ว น่าจะเห็นดีด้วยกันทั้งหมด และไม่มีน่ามีปัญหาขัดเคืองทางอารมณ์ นั่นคือคำว่า “เพศสัมพันธ์แบบสอดใส่”
ก็หวังว่า หากมีการสอบถามความเห็นอีกครั้ง เรื่องการใช้คำ คงไม่มีใครยกมือขึ้นมาแล้วท้วงติงว่า “ยังไม่ชัดเจนครับพี่ สอดใส่นี่...หมายถึงสอดใส่ตรงไหน ควรระบุให้ชัดๆ!”
ถ้าเกิดมีใครถามมายังงั้น ผมก็คงจะบอกไปว่า “สอดใส่ตรงรูหูละมั้ง...” วุ้ย
อีกข้อความหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า เหล่าชายรักชายส่วนใหญ่ ไม่เคยคิดถึงมาก่อน โดยเฉพาะคนที่ “active” กับการมีเพศสัมพันธ์อยู่บ่อย ๆ
ข้อความที่สอง:
เพียงใช้ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นชนิดน้ำทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย คุณก็จะปลอดภัยจากการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมกับตรวจสุขภาพทางเพศอย่างน้อย “ปีละ 2 ครั้ง”
เพื่อคุณจะได้รู้สึกปลอดภัยและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
กลุ่มผู้มาให้สัมภาษณ์บอกว่า ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนว่า ต้องคอยตรวจสุขภาพทางเพศด้วย ส่วนใหญ่ เราพูดถึง ตรวจสุขภาพทั่วไป แต่สำหรับชายรักชายที่ยังมีเพศสัมพันธ์อยู่ ควรคำนึงถึงเรื่องนี้นะครับ คำแนะนำของผู้ให้สัมภาษณ์ก็คือ น่าจะบอกว่า ควรตรวจสุขภาพทุก 6 เดือน ฟังดูชัดเจนดี ทีมงานก็เลยเห็นดีเห็นงามด้วย
มีข่าวดีสำหรับชรช. มาบอก นั่นคือ ตอนนี้เริ่มมีคลินิกเฉพาะกลุ่มเพิ่มมากขึ้นแล้วนะครับในจุดต่างๆ คนที่อยู่ในกทม. ได้เปรียบอีกแล้ว แต่ต่อๆ ไปคงขยายออกไปตามจังหวัดต่างๆ มากขึ้น
สถานที่ผมแนะนำอยู่บ่อยๆ ก็คือ คลินิกชุมชนสีลม อยู่ที่ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ไปสะดวกมากครับ ลงรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ศาลาเกย์..เอ๊ย...ศาลาแดง หรือรถใต้ดินที่สถานีสีลม แล้วเดินผ่านหน้าซอยสีลมซอย 4 ตรงไป ผ่านซอยพัฒน์พงษ์ 1 แล้วจะเจอโรงพยาบาลอยู่ทางขวามือ ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านนี้โดยตรง เครื่องมือ อุปกรณ์การตรวจทันสมัย และนอกจากตรวจแล้ว ยังได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอีกต่างหาก
ทุกขั้นตอน “ไม่มีค่าใช้จ่าย” และ “ไม่ต้องอาย” คนกันเองทั้งนั้น (หมายเหตุ เจ้าหน้าที่หนุ่มที่นั่น น่ารักมาก ต้องไปดูเอาเอง แต่ถ้าไปแล้วเขาออกเวร ไปแล้วไม่เจอ อย่ามาโทษผมนะ) ลองโทรไปขอข้อมูลก่อนก็ได้ (ห้ามโทรไปจีบ) 02-634-2917, 1800-686868 email: silom@tuc.or.th
วันนั้น วันที่เราทำสัมภาษณ์ Focus Group กัน ก็ต้องบอกว่า ได้รับความรู้ใหม่ๆ เยอะทีเดียว อยากจะขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาในวันนั้นให้ผมและเพื่อนได้รับรู้เรื่องบนเตียงของพวกท่าน ต่อไปนี้ ก็ถึงเวลา ควานหานักแสดงตามที่ระบุกันไว้ และลงมือถ่ายทำแล้วล่ะครับ หวังว่า ท่านผู้อ่านคงจะรอดูผลงานชิ้นนี้กัน แล้วจะแจ้งความคืบหน้าต่อไป...เมื่อเสร็จ
-end-
All rights served.
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
ต้องการอาสาสมัครงานวิจัยมั้ยพี่ หุหุ
จะรอดูค่ะ ทำเสร็จเมื่อไหร่ ส่งข่าวหน่อยแล้วกัน พี่วิทยื เราส่งเมล์ไปหานะคะ เปิดอ่านด้วยค่ะ
การมีความรู้สึก ชอบเพศเดียวกัน หรือ เกย์ มีสาเหตุจากหลายประการ แต่ที่พบมากที่สุด มีสาเหตุมาจาก
1. การถูกทำร้ายทางเพศ อาจจะเป็นทางร่างกาย หรือ จิตใจ จากเพศเดี่ยวกัน ในสมัยเด็กๆ
2. การขาดความรัก, ไม่ถูกเอาใจใส่ หรือ ถูกทอดทิ้งจากบิดา
และสาเหตุอื่นๆ เช่น การถูกทำร้ายด้านจิตใจสมัยเด็กๆ เป็นต้น
และเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวของเด็ก ตัวของเขาก็จะตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขื้น การตอบสนองก็จะออกมาในรูปแบบหลายๆแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็แต่งต่างกันแล้วแต่บุคคล จนในที่สุดกลายมาเป็นการตอบสนองแบบ ชอบเพศเดียวกัน
เด็กชาย ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องได้รับรูปแบบของการเป็นชายจากบิดา เด็กจะเรียนความเป็นชาย จากบิดา แต่เมื่อใดก็ตามที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้ และขาด รูปแบบของความเป็นชายในสมัยเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการถูกบิดาทอดทิ้ง หรือ ไม่มีความสัมพันธ์กับบิดา เด็กคนนั้น ซึ่งเมือเติบใหญ่ขึ้น การตอบสนองก็จะแปลงเปลี่ยนไป โดยไม่รู้ตัว ความต้องการทีจะได้ซึ่งความเป็นผู้ชาย กลายมาเป็นความต้องการสัมผัส เพศเดี่ยวกัน เพราะคิดว่าตัวเองจะได้ความเป็นชายจากการสัมผัส การต้องการยอมรับของเพศเดี่ยวกัน การทำตัวเองให้แข็งแกร่งสมชาย โดยการเพาะกาย เป็นต้น ซึ่งเกย์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถรู้ตัวได้ว่าทำไมจึงต้องมีพฤติกรรมเช่นนั้น พฤติกรรมเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ เพื่อต้องการให้ได้รับความเป็นชายซึ่งขาดไปในตอนยังเด็ก
ผู้สนใจกระบวนการรักษา ท่านสามารถเข้าชมเวปไซด์
http://www.exodusglobalalliance.org/index.php
Post a Comment