Sunday, July 30, 2006

เมื่อต้องไปงานชุมนุมศิษย์เก่า

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com 29-30 July 2006

นานมาแล้ว มีใครบางคนเคยบอกผมว่า อยากจะอ่านเรื่องเกี่ยวกับ ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นแล้วเจอเพื่อนเก่า และอยากจะรู้ว่าควรวางตัวยังไงดี ทำยังไงเวลาเจอใครๆ แต่งงานกันไปหมดแล้ว...ตอนนั้นผมอีเมลตอบกลับไปว่า

“ขออำ-ภัยครับ ไม่รู้จะเขียนยังไง...ไม่เคยไปงานอย่างนั้นซะกะที”

แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้ว วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง

งานชุมนุมศิษย์เก่าและจัดเลี้ยงฉลอง “แซยิด” ให้ครูละครคนหนึ่งของวงการละครเวทีของไทย “คำรณ คุณะดิลก” แห่งชมรมพระจันทร์เสี้ยว จัดที่ หอศิลป์ตาดู ถนนเทียมร่วมมิตร

คุณผู้อ่านทั่วไปคงไม่ค่อยรู้จักบุคคลท่านนี้ เพราะท่านเป็นครูละครแนว “Hardcore” และชมรมพระจันทร์เสี้ยวขึ้นชื่อว่า เป็นนักวิพากย์สังคมอย่างตรงไปตรงมา นำเสนอละครด้วยประเด็นเผ็ดร้อนเสมอ

ครูของผมเป็นคนในยุคตุลาทมิฬ หลังจากเหตุการณ์นองเลือด คนในขบวนการนักศึกษาบางคนก็หนีเข้าป่าเพราะกลัวโดนจับ บางคนก็ไม่หนีเลยถูกจับไปนอนในคุก บางคนก็ออกนอกประเทศไป โชคดีครูมีแฟนสาวเป็นชาวฝรั่งเศส เลยพาตัวเองไปอยู่ที่นั่นสิบกว่าปี

กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากไปทำงานส่วนตัวอยู่พักหนึ่ง ก็ตกลงรับทำโปรเจกต์ใหญ่ยักษ์ของธรรมศาสตร์ โครงการนี้ต่อมากลายเป็นผลงาน “Masterpiece” ของครู นั่นคือ ละครเวทีนำเสนอชีวประวัติอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฯ ละครเรื่องนี้ยังเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในสมัย พ.ศ. 2475

“คือผู้อภิวัฒน์” เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้ชมละครตื่นตะลึงกับรูปแบบการนำเสนอที่แหวกแนว เนื้อหาที่เข้มข้น ละครหนักสมองแต่กลับดูสนุก ผมเองรู้สึกภูมิใจ...จริงๆ นะครับ นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนักแสดง “อินโนเซนต์” 12 ชีวิตบนเวทีละครนั้น

แล้วพวกเราบางคนก็มีโอกาสหวนกลับมาพบกันอีกครั้งในงานวันเสาร์ เพื่อจะแสดงละครบางฉากให้ครูและผู้ชมในงานแซยิดนั้น

สำหรับเพื่อนๆ ที่เคยทำละครด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ ผมนับว่าเป็นเพื่อนกลุ่มที่สนิทที่สุดสมัยชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะพวกเราเจอหน้ากันบ่อย ซ้อมละครกันปีกว่า รู้เช่น-เห็นชาติตระกูลกันเกือบหมด ยกเว้นเรื่องเดียว...ไม่มีใครดูผม “ออก” ร๊อก

สำหรับครูของผม เขาก็คงไม่รู้ จริงๆ แล้วพวกเราไม่เรียกท่านว่า ครู แต่เรียกว่า “พี่คำรณ” ก็เพราะชอบให้เรียกอย่างนั้น นับดู เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วล่ะมั้งครับที่ไม่ได้พบหน้ากัน

วันที่เจอกันอีกครั้ง ก่อนจะถึงวันเสาร์ที่ 22 ผมตรงเข้าไปกอดพุงของเขาเหมือนทุกครั้ง ผมเห็นรอยยิ้มกว้างภายใต้หนวดเครารกรุงรังเหมือนเดิม ต่างไปแต่ว่า ตอนนี้ความรกรอบริมฝีปากนั้นเป็นสีขาวส่วนใหญ่

ต่อหน้าเขา ผมยังไม่ได้คิดจะพูดเรื่องที่ว่า ผมเป็นเกย์เลยนะครับ ผมคงไม่รู้ถึงความแตกต่างอะไรแล้ว ระหว่างเปิดเผย หรือจะไม่พูดถึง มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกในชีวิตประจำวัน ชีวิตที่เลิกแอบ คือชีวิตไม่หวั่นเกรงหรือหวาดกลัวอีกแล้วถ้าใครจะถาม และก็ไม่ต้องบอกอะไร หากไม่มีใครถาม ผมคิดอย่างนั้น

หากแต่มีสิ่งหนึ่งได้กลายเป็นคำถามขึ้นมา ผมสงสัยว่า ผมเป็นคนเดิมในสายตาของเขาหรือเปล่า? แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป พี่ก็โพล่งออกมา

“ตอนนี้...(ชื่อเล่นผม)…ชัดเจนในตัวเองแล้วนี่” พูดพลางหัวเราะ เสียงทุ้มลงคออย่างเป็นเอกลักษณ์ แล้วหันไปยิ้มให้กับเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม พุงของเขากระเพื่อมเหมือนเคย คุณลองนึกถึงภาพลุงซานต้าดู

ส่วนผมน่ะเหรอ เหวอไปเลย อดนึกในใจไม่ได้ ใครวะ...มาบอกตัดหน้า (กรู)ผมไม่ได้อาย หรืออยากปกปิดนะครับท่านผู้อ่าน แต่ว่าเจอทักทายแบบนี้แล้ว...ตั้งตัวไม่ทัน พอตกเย็น นั่งกินข้าวกัน ผมเลยได้คุยเรื่องงานต่างๆ ที่ผมทำอยู่ รวมทั้งเรื่องบทความในคอลัมน์นี้ คนอ่าน และสิ่งอื่นๆ ที่ผมสนใจและอยากให้เขารับรู้ มันง่ายมากเลยที่จะพูดกัน เพราะไม่รู้สึกระแวงอะไรกันแล้ว

แล้ววันสำคัญก็มาถึง

วันเสาร์ ผมจะได้ไปเจอหน้าเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เพื่อนคนอื่นๆ ที่มาในงาน ต่างก็รู้เรื่องราวของผมเกือบหมดแล้ว เว้นแต่ไอ้หมอนี่คนเดียว เพราะมันกลับบ้านต่างจังหวัดตั้งแต่เรียนจบ เกือบยี่สิบปีแล้วมั้งที่ไม่ได้เจอกัน...ฟังดูนานมาก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเมื่อวันวาน

ผมรู้มาก่อนหน้าแล้วว่า เพื่อนผมคนนี้แต่งงานและมีลูกสองคน มันเป็นคนที่เรียกว่า เกิดมาเพื่อจะมีครอบครัวโดยแท้ ดูเขามีความสุขมากๆ ที่ได้พูดถึงลูกๆ ตอนนั้น ผมกำลังคิดว่า จะหาจังหวะบอกยังไงดีว่า ผมเป็นเกย์ จะได้เล่าเรื่องส่วนตัวของผมบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายฟังมันเล่าฝ่ายเดียว และแล้ว ก่อนงานจะเริ่ม กล้องวิดีโอก็สาดมาทางผมกับเพื่อนคนนี้ตอนเรากำลังนั่งคุยกันอยู่ ไมโครโฟนถูกยื่นเข้ามา เขาอยากจะสัมภาษณ์ว่า รู้สึกยังไงกับพี่คำรณและงานรวมพลคนละครเวทีในวันนี้

เพื่อนผมหันมายิ้ม แล้วบอกว่า “เอ้า...เอ็งพูดก่อน” ว่าพลางก็ขยับเข้ามาใกล้ผมซึ่งนั่งอยู่ถัดไปเหมือนจะไม่ให้ตัวเองตกกล้อง และก็ใกล้เข้ามาอีก เขาเอามือมาโอบไหล่ผมไว้ ดึงผมเข้าไปหา ผมนึกถึงสมัยวันเก่าๆ ที่เราทำละครกันและต้องสัมผัสเนื้อตัวกัน...

ตอนเราเล่นละครกันสมัยนั้น บนเวที จะมีอยู่ฉากหนึ่ง ผมจะต้องกอดลาเพื่อนคนนี้ (ในบท ตัวละครที่ผมเล่นจะต้องตายจากไป แล้วตัวละครที่เพื่อนเล่นจะเอ่ยคำเศร้าๆ ว่า ลาก่อน...เพื่อนน้ำมิตร...) ทุกๆ ครั้งบนเวที ผมจะกอดเขาอย่างระวังตัว ผมจะเว้นช่องว่างจากกันด้วยการทิ้งระยะห่างในแบบที่ผมกำหนดเอง ออกจะเป็นท่าทางประหลาดๆ แต่ผู้กำกับไม่ได้ว่าอะไร และไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะกอดเขาแบบสบายใจ สารภาพล่ะครับ-ผมรู้สึกหวาดๆ ทุกครั้งเมื่อถึงฉากนี้

ไม่ใช่ว่า ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กอดเพื่อน หรือผมตื่นกลัวว่าจะอะไรจะตื่นตัวขึ้นมานะครับ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างนั้นกับเขาเลย

ใกล้ถึงเวลาแสดงแล้วในช่วงบ่ายวันเสาร์ ระหว่างรอคิวเข้าฉาก ภายใต้แสงไฟสลัวๆ เรายังคงนั่งชิดติดกัน ผมลืมเรื่องที่อยากจะเปิดอกกับเขาไปแล้ว ตอนนี้ผมเห็นเพื่อนมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาท่องบท 7-8 บรรทัดของเขาซ้ำไปซ้ำมา เอาหลังพิงกำแพง ก้มหน้าลงแล้วขยี้หน้าตาสองสามที บ่นงึมงำ “เดี๋ยวลืมบท ทำไงดีวะ” ผมส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ พอไฟดับลง ก่อนที่เราต้องลุกเดินออกไปเข้าฉาก ผมเอื้อมมือไปบีบต้นขาเขาเบาๆ แล้วบอกว่า “นายทำได้นะ”

การแสดงผ่านไปอย่างเรียบร้อย ทุกคนตั้งใจมาก ผมรู้สึกเป็นนักศึกษาอีกครั้งหลังเสียงปรบมือที่ให้นักแสดงทุกๆ คนจบลง

ในช่วงเลิกงาน เรากำลังนั่งกินข้าวอยู่ แล้ว... “จังหวะดีๆ” ของผมก็โผล่ออกมาในแบบ “ตัวเป็นๆ”

มีผู้ชายคนหนึ่งที่มาเป็นแขกในงาน และเป็นที่รู้ในหมู่เพื่อนว่า เขาคนนี้กำลัง “ดูๆ” เพื่อนหญิงของเราคนหนึ่งในกลุ่มที่ยังโสด ผมสังเกตและลองคุยดู รู้สึกจะพบประกายสายรุ้งบางอย่าง ผมเลยหันไปลองถามเพื่อนคนนี้เล่นๆ ดู “เฮ้ย นายว่าหมอนั่นเหมาะหรือเปล่า สงสัยเป็นเกย์แหงเลย แปลกๆ”

แล้วเพื่อนผมคนนี้ก็นิ่งไป คิ้วขมวด

ได้จังหวะของผมแล้ว “เออ...(ชื่อเพื่อน)…มีเรื่องจะบอกว่ะ...เราน่ะ ไม่ได้ชอบผู้หญิงนะเว้ย”

เพื่อนผมยังคงนิ่งอยู่ ทำหน้าเหมือนงงๆ แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา “รู้แล้ว! ไอ้...(ชื่อเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้มาในงาน)... บอกแล้วตอนโทรศัพท์”

แล้วอาการเหวอก็มาเยือนผมเป็นคำรบสอง จังหวะนี้ล่ะครับท่าน แฟลชแบคต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนบ่ายต้นๆ ของวันก็แวบเข้ามา

มันรู้แล้ว...มันรู้ตั้งนานแล้วเหรอ? แต่ก็ยังมากอดผมซะแน่นอีกตอนสัมภาษณ์นั่น ผมรู้สึกปลื้มจนอยากจะบอกอะไรบางอย่างออกไป

ตกดึก หลังจากผมพาเพื่อนๆ ไปแหกปากร้องเพลงกันจนหายคิดถึงแล้ว ก็ถึงเวลางานเลี้ยงต้องเลิกรา เพื่อนของผมจะต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในวันรุ่งขึ้น ครั้งนี้คงลากันจริงๆ

ผมยืนรออยู่นานตรงหน้าโรงแรม เขาเดินมาหลังจากจอดรถเสร็จ ท่าทางง่วงๆ

“เฮ้ย เดินทางปลอดภัยนะ แล้วว่างๆ จะแห่กันไปเที่ยว” ผมตะโกนออกไป

“เออ...” เพื่อนยิ้มให้

ผมไม่รู้ว่า เป็นจังหวะไหนกันแน่ที่เราตรงเข้ามาหากัน แล้วโอบกอดกันไว้ สองมือของผมกอดเพื่อนไว้แน่น ผมตบหลังเขาเบาๆ ณ เวลานี้ ไม่มีระยะห่างระหว่างกันอีกแล้ว ผมกอดเขาทั้งตัว มันเป็นความรู้สึกที่ต่างจากทุกๆ ครั้งที่เราสองคนยืนอยู่บนเวทีละครที่เราเล่นด้วยกันกว่ายี่สิบรอบในสมัยนั้น ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดให้กันแบบนี้ และในขณะนี้ คงมีสิ่งหนึ่งที่ส่งผ่านถึงกันโดยไม่ต้องอธิบายในอ้อมกอดนั้น

ผมรู้สึกเข้าถึงคำพูดนั้นแล้วล่ะ... เพื่อน...น้ำมิตร

ขอบใจนะ


บอกต่อกันไป : ใครอยากดูหนังใหม่ เรื่องราวชาวสีรุ้งโดยเฉพาะ “Silom Soi 2” แวะที่เวบนี้ได้เลย http://www.silom-soi2.com

-end-

All rights served.

7 comments:

Anonymous said...

ได้เข้ามาเป็นคนแรก ดีใจค่ะ

พูดถึงงาน ศิษย์เก่าแล้ว
สาวอิสานรอรัก ก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร
คือไม่เคยไปเลยสักครั้ง (หลังจากที่มีการจัดหลายครั้งแล้ว)

เป็นโรคจิตนิดๆ ค่ะ คือไม่อยากเจอใคร
จึงไม่ไปปรากฏตัวให้ใครเห็นสักครั้ง

อ่านแล้วก็นึกถึง สมัยเรียน ในรั้วมหาวิทยาลัยนะคะ
หรือบางที ก็ถอยหลังไปกว่านั้น เป็นรั้วมัธยม
คิดไปว่า
ตอนนี้แอบชอบรุ่นพี่นักกีฬาบาสเกตบอล

มาทราบข่าวทีหลังจากเพื่อนๆว่า เขาแต่งงานไปแล้ว
และหย่าไปแล้วเรียบร้อย (แอบสงสัย)

แล้วความสงสัยก็ กระจ่างใจ เมื่อเพื่อนอีกนั่นแหละ
ไปเจอในเขาใน
"สถานที่ กินดื่ม บันเทิง เต้นรำ ร่าเริง" เฉพาะกลุ่ม แห่งหนึ่ง

โชคดี นิดๆ ที่ ไม่มีลูก นะคะ

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่สาวอิสานรอรัก ไม่อยากไปงาน
ชุมนุมคนเคยรู้จักกัน (ศิษย์เก่า)
สาวอิสานไม่อยากตอบคำถามว่า เหตุที่ยังไม่แต่งงานไปเพราะ สาวอิสานเป็น..............(กรุณาเติมคำตอบท่ถูกต้องลงในช่องว่าง)

กูรวิทยา เขียนประเด็นนี้หน่อยสิค่ะ "พ่อเกย์"
อยากอ่านค่ะ

ตอนนี้สาวอิสานรอรักก้กำลังเก็บข้อมูลพวกนี้อยู๋ค่ะ


ทำไมนะ ทำไม รู้ตัวว่าเป็นเกย์แล้ว แต่งงานไปทำไม
(กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความไม่เข้าใจ)

ไปก่อนนะคะ
และจาแวะมาคุยด้วยบ่อยๆ ค่ะ

Anonymous said...

มาเติมคำในช่องว่างให้คุณสาวอิสานรอรัก ครับ

เหตุที่ยังไม่แต่งงานไปเพราะ สาวอิสานเป็น..............คนดี....... งัยครับ

อิอิอิ
อ้าว ผมหมายความตามนี้จริงๆนะครับ
แต่ความจริงมีที่เท่ๆกว่านี้บ้างประปราย
เช่น กรูกรนดัง / แม่หวง / กรูยังลืมความรักครั้งแรกไม่ล(ว่ะ) ก็เลยไม่กล้าเริ่มต้นใหม่กับใคร

อ้าก อ้าก อ้าก ...ขำว่ะ

มีเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนที่เป็นเกย์ชัวร์ แต่ยังเลือกที่จะแต่งงาน ท่ามกลางสายตาฉงนของผู้คนรอบข้าง
ที่ยังไม่มีลูกก็เป็นบุญ แต่ที่มีแล้วนี่... ทุกข์มากๆ

ผมเห็นด้วยครับ กับประเด็นที่คุณ สาวอิสานฯแนะนำ เพราะมีน้องที่เพิ่งรู้จักกันคนนึงก็เป็นอยู่ อดเป็นห่วงไม่ได้

...

เวลาไปงานศิษย์เก่า ความหลังจะพรั่งพรู คนนี้ข้าพเจ้าเคยเหล่ โห... อ้วนชิบ...
ไอ้นี่แก่ไปหน่อยแต่ยังโอเค
โห ..เพื่อนคนนี้ ..กาลเวลาทำร้ายมันไปเยอะเลย

แต่จริงๆ คือ ไม่ค่อยอยากไปเหมือนกัน ยกเว้นว่าจะมีเพื่อนสนิทๆในห้องเดียวกันไปกันพร้อมหน้า

ปล. ขออนุญาตตอบคุณสาวอิสานผ่านบล็อกคุณวิทยา

.. ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่หรอกครับ ผมคนตรงระดับขวาน
แต่เรื่องปากแข็งนี่มีบ้าง จริงๆ หนักไปทางเอ๋งๆมากกว่า
สาวๆที่เคยหลง เทาที่ติดตามข่าว ป่านนี้ส่วนใหญ่ยังหาทางออกไม่เจอเลยละครับ ฮ่าฮ่า

Anonymous said...

ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาก่อน ตอนที่ผม "เปิดตัว" ครั้งแรก มันทั้งฟุ้งซ่าน อึดอัด คับข้องใจ ถ้าไม่ได้พูดบอกให้ใคร ๆ รู้ ก็อาจจะตายได้เพราะความทรมานที่ต้องเก็บความจริงเอาไว้กับตัว คนที่รู้จักผมส่วนใหญ่ไม่อยากให้ผมเป็นเกย์ และพยายามวางรูปแบบชีวิต "ที่ควรจะเป็น" ให้ผมเสมอ แต่หลังจากที่ผมทำตามที่ใจต้องการและผ่านช่วงเวลาแห่งการเปิดเผยนั้นมาได้พักใหญ่ ผมก็ต้องเผชิญกับ "คำถามที่ต้องตอบ" ในใจตัวเอง อีกครั้ง ตอนที่ผมตั้งใจบอกเรื่องนี้กับเพื่อนรักคนหนึ่ง และมันก็เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กับในบทความนี้...

ประสบการณ์ช่วยสอนให้ผมเข้าใจชีวิต ไม่จำเป็นที่ต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ว่า "ผมเป็นเกย์" ตราบใดที่ผมเข้าใจตัวเองและไม่หนีความจริงด้วยการหลอกตัวเองและคนอื่นอีกต่อไป ^__^

Anonymous said...

เพื่อนน้ำมิตร ชอบคำนี้จัง เรามาเจอเพื่อนแท้ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเนี่ยแหละค่ะ ตอนมัธยมมีแต่เพื่อนเล่น เพื่อนกินซะมากกว่า อ้อ เราไม่เคยไปงานชุมนุมศิษย์เก่านะคะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

Anonymous said...

เข้ามาเยี่ยมค่ะพี่
อ่านแล้วนึกถึงประสบการณ์ตัวเองเหมือนกัน
กับงานพบเพื่อนเก่า ๆ บางทีก็พูดถึงแฟนได้ชัดเจน
บางกลุ่มก็ต้องรอจังหวะ อย่างพี่เล่า
บางกลุ่ม ไม่ถามก็ไม่พูด

Anonymous said...

หวัดดีครับ ผม ชื่อ นิคครับ อายุ26/169/60 เป็นรุก ขาวออกตี๋ครับ
สำหรับผมแล้ว ผมแบ่งเกย์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่ต้องการมีคู่ชีวิต รักเดียวใจเดียว เป็นเรื่องยากมากที่จะนอกใจคนรัก แม้จะมีสิ่งยั่วยุมากแค่ไหนก็ตาม ยิ่งนานวันก็ยิ่งรักคนที่เขารัก......
2. กลุ่มที่ต้องการสนุกไปเรื่อย บางครั้งอาจจะมีความรัก แต่สำหรับคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องง่ายมากที่จะนอกใจ ดังนั้น ไม่นาน เขากลุ่มนี้ก็จะเบื่อคนที่คบไปนานๆ .....

ถ้าคนกลุ่มแรกเจอกันเอง ความรักก็แฮปปี้....

แต่ถ้าคนกลุ่มแรก เจอกับกลุ่มที่สอง ....ก็มีแต่เจ็บกับเจ็บ...
แต่สำหรับผมนั้น ผมเป็นกลุ่มแรกครับ หวังไว้ว่า อยากจะมีความรัก ที่สุขสมหวัง ถ้าเป็นไปได้ผมอยากมีใครสักคนนึงที่คบกับผมได้ตลอดไปและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ครอบครัวของผมเอง ก้ไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับเรือ่งนี้ ไม่ใช่ว่าผมแสดงออก สาวนะครับ ผมไม่ได้ออกสาว แต่ครั้งนึงผมเคยมีความรัก ความรักทำให้ผมกล้าที่จะลุกขึ้นมาบอกกับครอบครัวว่า แม่ครับ ผมรักผุ้ชายคนนี้ เราจะอยู่ด้วยกันครับ ด้วยเวลานั้น ความรักมันมีอำนาจเหนือความกลัวของผม ความรักทำให้ผมกล้า ขึ้นลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ผมเคยกลัวที่สุด แต่ท้ายที่สุด คนที่ผมคาดหวังไว้เขาก้ไปจากผม จากเวลานั้นถึงตอนนี้ผ่านมา8เดือนแล้ว ผมอยากที่จะมีรักที่มั่นคงอีกครั้ง พี่ๆ คนไหนสนใจ เมลมาคุยกันได้ครับ ได้ที่เมล Lament_of_innosence@hotmail.com ขอบคุณครับ

Anonymous said...

ชอบเรื่องนี้จังเลยคับ

สิ่งที่ผมกลัวที่สุดเวลาที่คิดว่าเพื่อนจะรู้แล้วเปลี่ยนไปนั่นเอง

จนตอนนี้อาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นผมทดลองบอกเพื่อนที่สนิทๆ กัน ซึ่งหลายคนก็ให้คำตอบว่า

"จะเป็นอะไรเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน"

ผมรู้สึกว่าตัวเองก้าวข้ามส่วนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้เปราะนึงแล้ว

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีมากๆ คับ