Sunday, July 02, 2006

ถ้าไม่ต้องรักใคร คงจะดี

เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com
1-2 July 2006

ท่านผู้อ่านคอลัมน์นี้จากหน้ากระดาษอาจจะสังเกตว่า ความยาวของบทความนั้น บางครั้งเต็มเหยียด บางครั้งก็มีเพียงครึ่ง ก็ไม่ต้องแปลกใจใดๆ เพราะตอนนี้กระดาษแพง เนื้อหาทุกๆ ส่วนใน Metro Life เลยต้องขยับปรับให้เหมาะสม

คนเขียนก็เหมือนกัน จะมาเม้าธ์กระจายในคราวเดียวก็ไม่สำเร็จอีกแล้ว เลยต้องมีภาคต่อ และอาจจะมีต่อๆ ไปสำหรับเรื่องที่คาๆ ค้างๆไว้

อย่างเรื่องความรัก ไม่มีวันรู้หมด และคงไม่มีใครเขียนจบ

ต่อสัปดาห์ที่แล้วนะครับ จากการศึกษาของนักมานุษยวิทยาสตรีชื่อดังผู้หนึ่ง ท่านเรียนมาทางจิตวิทยาอีกด้วย : ดร. เฮเลน ฟิชเชอร์ บอกว่า “รัก” นั้นมีองค์ประกอบหลักสามส่วน คือ Lust (หมายถึงอยากจะ ‘เอา’ นั่นแหละ); Romance หรือความรู้สึกดีๆ และสุนทรีในอารมณ์ที่มีให้คนที่เรารัก; และ Commitment หรือความรู้สึกผูกพัน เป็นความต้องการอยากจะสร้างสัมพันธ์ที่ยืนยาวต่อกัน

มนุษย์เราไม่ว่ารักชอบเพศใด ก็มีสามส่วนนี้เกิดขึ้นในตัวได้ในเวลาต่างๆกัน อาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับอีกฝ่าย หรือกับอีกหลายๆ ฝ่ายในเวลาเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิดปกติ หรือต้องรู้สึกผิดที่แอบปิ๊งแฟนชาวบ้าน ขณะที่ตัวคุณก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แค่ปิ๊งเฉยๆ คงไม่เป็นไร

ความรู้สึก Lust นั้นถูกกระตุ้นจากสิ่งที่เห็น หรือได้สัมผัส กลิ่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญและทำให้คนเรารู้สึกงุ่นง่านได้

ผมเองเคยสงสัยว่า ทำไมถึงชอบไปนั่งใกล้ๆ เพื่อนคนนั้นทุกทีเลย ทบทวนดูก็พบว่า ชอบกลิ่นจากตัวเขา พอถามเขาว่า ใช้น้ำหอมหรือใช้อะไรเปล่า? เขาส่ายหน้า จนทีหลังเพิ่งนึกได้เอง กลิ่นหอมน้ำยาซักผ้าเองแหละ-บ้าจริง ใช้ยี่ห้ออะไรเนี่ย?

ในการศึกษาที่ผ่านมา ดร. ฟิชเชอร์ค้นคว้าเรื่องรักๆ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางสมอง ด้วยการสแกนสมองของอาสาสมัครที่กำลังอยู่ในห้วงรักกลุ่มหนึ่ง และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ที่ไม่สมหวังในรัก ทีมงานใช้วิธีกระตุ้นสมองด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างดูรูปภาพคนที่ตนรัก และรูปของคนรู้จักทั่วๆ ไป

พวกเขาได้ข้อสรุปบางอย่างที่น่าสนใจว่า ความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์โดนกำกับโดยสารเคมีในสมองแทบทั้งสิ้น อย่างสิ่งที่เรียกว่า โรแมนติค

เธอบอกว่า “โรแมนติคไม่ใช่อารมณ์ (emotion) แต่เป็นแรงกระตุ้นที่ทำงานเป็นระบบในสมองเพื่อก่อให้เกิดความต้องการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเพื่อต้องการบรรลุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง”

ในสมองคนเรามีความซับซ้อน แต่วิทยาศาสตร์ทางจิตค้นพบว่า สมองมีกลไกการทำงานสำคัญในลักษณะ “reward system” หมายความว่า มีการกระตุ้น และตอบสนอง ขณะเดียวกันก็มีระบบป้องกันตัวเองเพื่อให้คนๆ นั้นอยู่รอดได้จากสภาวะอารมณ์แปรปรวนที่อาจเกิดขึ้น

ถ้าเปรียบสมองกับโรงงาน คงเป็นโรงงานเคมีขนาดยักษ์

นั่นนะสิ ผมถึงว่า ทำไมนะ เวลาบางคนอกหักแล้ว ตัดสินใจทำร้ายคนที่เรารัก หรือทำร้ายตัวเอง และขณะที่หลายๆ คนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ทำไมจึงยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ จึงได้บรรลุในที่สุดว่า เพลง I will survive เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของการอยู่รอดแห่งมวลมนุษย์ และจริงๆ แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นเพลงชาติของเหล่าเกย์เพียงเท่านั้น

องค์ประกอบสามอย่างที่ว่ายังนำมาใช้อธิบายสิ่งต่างๆ ได้รอบตัว และยิ่งค้นหาเท่าไหร่ มองให้ลึกลงไป คุณอาจจะพบว่า คำพูดที่บอกว่า “ไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์” นั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ท้าทายความเชื่อของคุณ มากกว่าจะเป็นสิ่งที่คุณจะตกลงปลงใจเชื่อหรือยอมตามแล้วนำมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวในชีวิต พร้อมๆ ไปกับช่วยพ่นพิษของคำๆ นี้ใส่คนอื่นต่อๆ กันไป

อย่างบนโลกอินเทอร์เน็ต บ่นกันนักว่า เจอแต่คนหาเซ็กซ์ อยากจะหาแฟนคงยาก หรือเป็นไปไม่ได้?

แต่จากคนที่เขียนเมลมาคุย และคนที่ผมเคยสัมผัส (ด้วยการสัมภาษณ์) หลายๆ คนพบกัน เป็นแฟนกันเพราะอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่อกหัก ถูกหลอก หรือหลงไปกับจินตนาการในโลกไซเบอร์ ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น อย่าโทษอินเทอร์เน็ต หรือโทษคนบนเน็ต เพราะแต่ละคนมีจุดประสงค์ ความตั้งใจ และความต้องการไม่เหมือนกัน

ถามหน่อยเถอะเวลาคุณๆ คลิกๆ แล้วเจอภาพหนุ่มถอดเสื้อ หรือมีแต่ภาพร่างกาย ไม่มีใบหน้า แต่กลับมีภาพ “น้องชาย” ขยายตัวมาแสดงหน้าจอ คุณคิดว่า เขากำลังมองหาอะไรจากคุณ? และคุณกำลังมองหาอะไรจากเขา?

ยามหงี่ๆ คุณก็อยากได้ แต่พอเจอคนถูกใจ คุณก็อยากครอบครอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องยอมรับและพยายามทำความเข้าใจกันดูนะครับ

อาการที่เรียกว่า obsessive thinking จึงเกิดขึ้น เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ทุกๆ คน คุณจะคิดถึงแต่เขา อยากได้ยินเสียง คุณเอาแต่พูดถึงแต่เรื่องเขาให้เพื่อนฟังจนหูแฉะ เวลาเกินกว่าครึ่งในชีวิตประจำวันของคุณก็มีแต่ภาพลอยมาในห้วงนึก และไม่วายสงสัยอยู่ตลอดว่า ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่น๊า

แต่บังเอิญ เขาไม่ได้ถูกใจคุณด้วย เพราะที่ผ่านมา เขามีแต่ Lust ให้คุณ เรื่องบนเตียงเลยไม่สามารถขยายไปเป็นเรื่องอื่นได้ คุณจะพบว่า คนแบบนี้ พอคุณเริ่ม Romance เข้าหน่อย เขาก็เริ่มถอยห่าง แล้วจะหวังเรื่อง Commitment ทำไม?

หากมีคำถามง่ายๆ ว่า แล้วคนๆ ไหนกันที่คุณอยากจะมี Commitment ด้วย ก็ลองหลับตา แล้วนึกภาพ นิสัยแย่ๆ อาการทรามๆ คำพูดถ่อยๆ หรืออะไรก็ตามในแง่ลบที่กระทบการให้คุณค่าชีวิตในแบบฉบับของคุณ

ชั่งใจดูสิว่า คุณยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ไหม แล้วค่อยขอจับเข่าคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวว่า เราใจตรงกันหรือไม่ แล้วคุณจะรู้เองว่า ตกลงเขาหรือตัวคุณเองนั่นน่ะ จะกลายเป็น Mr. Right หรือ Mr. Wrong หรือเพียงแค่ Mr. Right Now

สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน โปรดอย่ายกเงื่อนไข การรักเพศเดียวกันมาใช้เป็นลงโทษตัวเอง ตั้งแง่ว่า ชาตินี้ คุณจะไม่มีวันพบคนที่คุณรัก

หากคุณแยกแยะให้ดี อะไรกันแน่ที่เป็นพิษ “ความเป็นเกย์” ของคุณ หรือ “ความเกลียดเกย์” แล้วคุณควรจะต่อสู้เพื่อใคร เพื่อสนับสนุนคนที่เกลียดเกย์ หรือสนับสนุนตัวคุณเองเพื่อให้คนอื่นรู้ว่า พวกเขาคิดผิดที่ดูหมิ่น และเหยียดหยามคุณ?

จริงอยู่คุณย่อมรู้สึกว่า ชีวิตคุณทำไมต้องมีเงื่อนไขมากกว่าคนอื่น ลำบากกว่าคนอื่น? แต่มองให้ดีๆ คุณกำลังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือไม่? ดูคนรอบข้างคุณสิ แล้วค้นหาว่า คุณมีอะไรที่ดีกว่า คนอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดน้อยใจว่า ใครๆ ก็ดีกว่าฉันไปหมด

ดร. ฟิชเชอร์เขียนหนังสือมาหลายๆ เล่มแล้ว คงมีโอกาสหยิบมาเล่าต่อในครั้งต่อๆ ไป

เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนครับ ถึงแม้จะพ่ายรักในวันนี้ แต่อย่างน้อย คุณก็รู้แล้วล่ะว่า คุณรักเป็น

บอกต่อกันไป : เตรียมพบกับงาน “ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา” (เกย์และเลสเบี้ยนไปดูหนังกัน) ที่เดิม House Rama หนังเกี่ยวกับเกย์ Cut Sleeve Boys (โปรดักชั่นฮ่องกง-อังกฤษ ดูแล้วสนุกมาก) และหนังเกี่ยวกับเลสฯ My Summer of Love (อังกฤษ) พร้อมกัน 20 กค. เป็นต้นไป บัตร 100 บาทต่อเรื่อง แต่ดูสองเรื่องควบ เหลือ 180 แถมได้รับสิทธิพิเศษ นำหางตั๋วมาชิงโชค ลุ้นรับรางวัลพิเศษอีกต่อ

All rights served.

7 comments:

Anonymous said...

คอลัมภ์ช่วงนี้ของพี่วิทย์ออกแนววิชาการแฮะ ความรักที่แท้จริงเหรอคะ ยังไม่มีผ่านเข้ามาในชีวิตเลย มีแต่ปั๊ปปี้ เลิฟค่ะ รักแบบเด็กๆน่ะ เอาน่า ซักวันมันคงจะผ่านมาเอง ถ้าไม่มีก็อยู่เป็นโสด สบายใจ ไม่มีภาระผูกพันให้ปวดหัว ปวดใจ เราเห็นด้วยกับพี่วิทย์เรื่องนึงค่ะ บางคนได้แฟนจากอินเตอร์เน็ต ยืนยันเรื่องนี้ด้วยคน เพราะพี่รุตเจ้าของกระทู้ความในใจของเกย์คนหนึ่งถึงคนทั่วไปในพันทิพ พี่แกก็ได้แฟนจากเน็ตค่ะ

Anonymous said...

ความรักเหรอครับ...
เป็นโสดน่าจะลงตัวที่สุด มีสักกี่คนกันที่รักกันยืดยาว ผมอาจจะไม่เบื่อคุณ แต่วันนึงคุณก็เบื่อผม ...
รักครั้งแรก เจ็บเพราะเขา...
รักครั้งสอง ยังมองไม่เห็นภาพที่ชัดเจน ว่าจะรักษาไว้ได้นานแค่ไหน...

Anonymous said...

การประสบกับสิ่งทีไม่รัก เป็นทุกข์
การพลัดพรากจากสิงที่รัก เป็นทุกข์
ที่ใดมี่รัก ที่นั่นเป็นทุกข์
รักเป็นกิเลส อย่างหนึ่งใน มุมมองพุทธ
กิเลสเป็นกองทุกข์
ดังนั้น รักจึงเป็นกองทุกข์ด้วย

อาเมน
อนุโมทามิ

Anonymous said...

อยากจะบอกกับทุกๆ คนว่า "หากพร้อมที่จะรักแล้ว ก็ควรจะพร้อมที่จะเจ็บด้วย" เพราะความเจ็บ ผิดหวัง มันจะมาพร้อมๆ กับความรักเสมอ เพียงแต่มันรอช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง แต่ความเจ็บ ความผิดหวังของแต่ละคนก็ไม่เคยจะเท่ากันเลย บางคนเจ็บมาก บางคนเจ็บน้อย หรือบางคนอาจจะไม่ อาจจะแค่ผิดหวังนิดๆ หน่อยๆ ที่พอจะทำใจยอมรับได้ อันนี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว

อยากจะเป็นอีกหนึ่งกำลัีงใจให้กับทุกๆ คนที่กำลังมีความรัก อยากจะบอกว่า "หากจะรักแล้ว ก็ต้องรักให้เป็น รู้รักและรู้รักษาความรักของเราเองด้วย" ใจของเราเอง ยังไงมันก็เป็นของเราเอง อันไหนที่เรารู้ว่าเราทำไปแล้วเจ็บก็อย่าไปทำ หลีกได้ก็หลีก เลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ทำใจนะ

จาก : คนที่พร้อมจะเจ็บจากความรัก

Anonymous said...

เขียนเรื่อง "รัก" สองอาทิตย์ติดเลยนะครับ ผมมาเสนอแง่คิดเกี่ยวกับ "ความรัก" ที่อ่านเจอมา ลองอ่านดูครับ


"ความกลัว มิใช่ความรัก
การเกาะอิงพึงพิงคนอื่น ก็มิใช่ความรัก
ความอิจฉาริษยา ก็ไม่ใช่ความรัก
การครอบครองเป็นเจ้าของ และการวางอำนาจเหนือ ก็มิใช่ความรัก
ความต้องการที่จะรับผิดชอบและหน้าที่ ก็มิใช่ความรัก
ความสงสารตัวเอง ก็มิใช่ความรัก
คความปวดร้าวที่มิได้รับความรัก ก็มิใช่ความรัก
ความรักไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความเกลียด
เช่นเดียวกันกับความนอบน้อมถ่อมตนมิได้เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความทรนง"

"จงเลี่ยงให้ห่างจากผู้รู้ที่มาบอกคุณว่า 'ความรักคืออะไร'
จงเลี่ยงให้ห่างจากผู้รู้ที่มาบอกว่า 'นี่คือความรัก นั่นไม่ใช่ความรัก'
ไม่มีผู้ที่อ้างตนเองว่ารู้คนไหนรู้
ส่วนคนที่รู้จริงนั้นไม่สามารถบอกออกมาได้
จงรักเถิด แล้วจะมีความเข้าใจ"

(ความรัก : จ. กฤษณมูรติ)

"รักแท้ไม่เคยทำร้ายใคร สิ่งที่ทำร้ายมนุษย์คือความรู้สึกอื่นที่มนุษย์ฉาบมาบนผิวหน้าความรัก มนุษย์นำความอยาก นำรสแห่งการร่วมเพศ นำความยึดติด นำความหลงฉาบฉวยมาบนเนื้อแท้และเหมาเรียกสิ่งนั้นว่าความรัก"
ที่มา ฟักกลิ้งฮีโร่ : "เทใจ" นิตยสาร GM+

"คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่รักผม แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามผมไม่ให้รักคุณ"

"การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยามกว่า
คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิต
แต่มันคงไม่ง่าย
ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่อยู่คนเดียว"

Anonymous said...

การอธิบายสิ่งที่เป็น "ธรรมชาติ" ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ อาจฟังดูน่าเชื่อถือและมีเหตุมีผล ดูมีหลักการให้เราได้ยึดเหนี่ยว...

แต่ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ ยังเปลี่ยนแปลงได้หากมีบทพิสูจน์ใหม่ ๆ มาหักล้างความเชื่อดั้งเดิม เพราะเหตุนี้จึงอาจไม่มีสิ่งที่เป็น "บทสรุป" ที่แน่นอนตายตัวกับเรื่องใด ๆ โดยเฉพาะ

โดยส่วนตัวผมเองมีความคิดว่า การที่เกย์บางคนถูกตราหน้าว่า "ไม่ศรัทธาในความรัก" ไม่รู้จักที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นไม่เป็น ต้องการเพียงเติมเต็มความต้องการทางกายและใช้ชีวิตไปตามกระแสของสังคม

อาจมีสาเหตุมาจากว่า คนที่ไม่(ต้องการ)มีรักหรือผูกพันกับใคร จริง ๆ แล้วเขาอาจกลัวการสูญเสียหรือความเจ็บปวดจากความผิดหวังหรือถูกทอดทิ้งจากคนที่เขารักที่สุด จึงเลือกที่จะไม่ผูกพันหรือไม่ "รัก" เพื่อให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุดหากรักนั้นต้องจบลง

การที่เราทำใจให้ "รัก" ใครได้ สำหรับผมจึงเป็น "ความกล้า" ที่จะเปิดใจยอมรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เราก็ควรจะเผื่อใจและไม่ยึดดิดผูกพันกับคนที่เรามอบความรักให้มากเกินไป(พูดง่ายมากแต่ทำ โ ค ตะ ระ...)ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อนจึงจะรักคนอื่นเป็น (พูดเหมือนคนมีประสบการณ์มั้ยครับ ^__^)

Anonymous said...

ผมเป็นคนรักคนง่าย ผูกผันกับคนง่าย ทำให้ตอนนี้ผมมีปัญหารัก 4 เซ้า รักรุ่นน้อง รักแฟนเก่ารุ่นน้อง รักนักออกแบบ และสุดท้ายรักนักเรียนนอก ผมก็ยังคงงงๆ กับตัวเองอยู่เลยว่าผมทำไปได้ยังไง และทำไมผมถึงโชคดีอะไรขนาดนี้ที่ได้รับรักจากคนทั้ง 4 คน แต่ตอนนี้ผมเพิ่งบอกเลิกกับนักออกแบบไป เนื่องจากเค้าเป็นคนดีมากๆ ดีจนผมไม่อยากทำให้เค้าเสียใจ เค้าเสียใจมาก ผมก็เช่นกัน ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงตัดใจจากรุ่นน้องและแฟนเก่ารุ่นน้อง คงต้องใช้เวลาอีกสักพักนึงจึงจะตัดใจจากเค้าทั้งคู่ได้ และสุดท้ายผมคงได้ใช้ชีวิตที่เหลือกับนักเรียนนอก คนที่ผมคิดว่าใช่ที่สุดสำหรับผม หวังว่าผมคงเลือกคนที่ถูกจริงๆ นะคราวนี้ (ขอบอกว่าทั้ง 3 คนผมเจอบนโลกไซเบอร์หมด ยกเว้นแฟนเก่ารุ่นน้องที่รุ่นน้องเป็นคนแนะนำให้รู้จัก)